วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

บลายธ์ : การกลับมาของตุ๊กตาย้อนยุค


สินค้าบางอย่างมีอายุอยู่ในตลาดแค่พริบตาเดียว ขายได้หนึ่งปีหรือไม่ถึงปีก็จอดสนิท ไม่มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ ถือเป็นสินค้าตายแล้วฝังกลบเลย ขณะที่บางอย่างเกิดเร็วล้ำยุคไปหน่อย เปิดตัวเข้าตลาดครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ลองจับมาปัดฝุ่นนำเสนอใหม่ กลับดังได้ดังดีแบบไม่ต้องลุ้นให้เมื่อย แบบนี้เรียกสินค้าคืนชีพครับ ซึ่งเราได้เห็นกันมาเยอะพอสมควร หนึ่งในนั้นที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ก็คือ บลายธ์ (Blythe) เธอเป็นตุ๊กตาย้อนยุคที่หากใครเดินเข้าร้านกิฟต์ช็อปบ่อยๆ คงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี สาวบลายธ์เธอดังนะครับ เด็กวัยรุ่นและสาวๆเห็นเธอเป็นต้องร้องอ๋อ เพียงแต่บางคนอาจจะคิดว่าเธอเป็นสินค้าของยุคนี้ อันที่จริง บลายธ์เป็นสินค้าที่มีอายุกว่า 30 ปีแล้ว


โลกของตุ๊กตา ผู้ชายอาจเข้าไม่ถึง แต่ถ้าพูดกันในแง่สินค้าแบรนด์หนึ่งที่หนังเหนียวยิ่งกว่าบรูซ วิลลิสในภาพยนตร์ Die Hard ผมว่า ตุ๊กตาบลายธ์เป็นสินค้าที่น่าสนใจมากทีเดียว บลายธ์เหมือนกับ ตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีคุณค่า และมูลค่าอยู่ในชื่อของเธอเอง ถือเป็นแบรนด์ที่ขายชื่อได้และทำเงินดีด้วย ตุ๊กตาบลายธ์ รุ่น “วินเทจ” ซึ่งหมายถึงรุ่นที่ผลิตจำหน่ายในปี 1972 สามารถเรียกราคาประมูลบนเว็บไซต์อีเบย์ได้ตัวละกว่า 2,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 76,000 บาท (จากราคาจำหน่ายแค่ตัวละ 35 ดอลลาร์ หรือ 1,300 กว่าบาท) สินค้าเกี่ยวกับบลายธ ์มีนอกเหนือจากตุ๊กตาเป็นตัวๆที่เอาไว้ให้เล่น หรือเอาไว้ให้ชื่นใจ (หมายถึงสะสมนะครับ) ส่วนใหญ่เป็นของใช้สำหรับผู้หญิง เช่น เข็มกลัด กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าสะพาย ซองโทรศัพท์มือถือ แผ่นดีวีดี หรือแม้แต่หนังสือรวมภาพตุ๊กตาบลายธ์ในอิริยาบทต่างๆ ตุ๊กตายี่ห้อนี้มีแฟชั่นโชว์ และนิทรรศการจัดแสดงในหลายประเทศ แถมยังมีเว็บไซต์ของตัวเองอีกด้วย



"Blythe"(บลายธ์) คือตุ๊กตาวินเทจที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดย Kenner โรงงานผลิตของเล่นในอเมริกา ที่ต้องการสร้างตุ๊กตาให้ต่างจากตุ๊กตาทั่วไปด้วยโมเดลตุ๊กตา 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye พร้อมแฟชั่นเครื่องแต่งกายกว่า 12 ชุด โดดเด่นด้วยดวงตากลมโตที่เปลี่ยนสีได้ 4 สี เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่มันกลับเป็นตุ๊กตาที่เด็กๆ หวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บลายธ์ไม่เป็นที่นิยม จนต้องปิดตัวลงหลังวางขายได้เพียง 1 ปี
30 ปีต่อมา จากสินค้าค้างสต๊อกกลับเป็นตุ๊กตาหายากที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสม หลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน) ได้มอบตุ๊กตาเป็นของขวัญ เธอก็ตกหลุมรักมัน เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ขณะเดียวกันเธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบจนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ This is Blythe รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001
หลังจากที่ Hasbro ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้บริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายเป็นตุ๊กตายอดนิยมของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาทีวีให้กับห้างดัง Parco จนกลายเป็นกระแส Blythe ฟีเวอร์ ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่น มีการระดมสุดยอดดีไซเนอร์มาร่วมออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้เหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว
และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้โดดเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมชื่อใหม่ "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมาก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes ขึ้นมากมาย นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่ "Petite Blythe" ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว ปิดท้ายด้วย Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้ว


































ไม่มีความคิดเห็น: