วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปิดเทอมนี้....มีไรทำ?




(กิจกรรม) 20 อย่าง ที่ไม่ควรพลาด !! สำหรับปิดเทอม
ปิดเทอมทั้งที จะมัวขลุกกันอยู่แต่ในบ้านทำไม หนังสือก็ไม่ต้องอ่าน การบ้านก็ไม่ต้องทำออกไปหากำไรให้กับชีวิต ช่วงวันหยุดกันดีกว่าค่า และถ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน"KNOCK KNOCK" ว่าไว้ว่า "อย่าคิดมากน่า! ข้างนอกมีอะไรๆ รอเราอยู่เพียบ"

1. เที่ยวทะเล..ฮาเฮถ้าเปิดเทอมหน้าร้อน ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปทะเลนะจ๊ะ หอบชุดว่ายน้ำเก๋ๆ บิกินี่ตัวเก่ง ไปเดินริมหาด เล่นน้ำทะเลใสๆ ที่หมู่เกาะสิมิลัน ไปอาบแอดริมชายหาดแถวๆ หมู่เกาะพีพี ก็เก๋ไม่เบา.. หรือจะไปดำน้ำ ดูปะการังที่หาดกะตะ จ.ภูเก็ต ก็น่าสนใจดีนะคะ.. ว่าแล้ว ก็แพ็คกระเป๋า ออกเดินทางกันเล้ยยยย






2. ตะลอนทัวร์กรุงเทพฯไม่อยากไปเที่ยวไหนไกลๆ กลัวเหนื่อย กลัวเปลือง ห่วงบ้าน ห่วงแฟน ไม่เป็นไร เที่ยวในกรุงเทพฯ นี่แหละ ดีที่สุด ไปเลย จะเดินห้าง ตากแอร์ เข้าวัดไหว้พระ แวะช้อปของร้านมือสอง ชมพิพิธภัณฑ์ซาบซึ้งศิลปะ สูดอากาศตามสวนสาธารณะ นั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายรูปรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ลองลิสต์รายชื่อสถานที่ ที่ยังไม่ได้ไปให้ครบ แล้วไปลุยกันเลย WebSite ข้อมูลท่องเที่ยวก
3. ตะเวนกินของอร่อย;วิธีพักผ่อนง่ายๆ ฉบับคลายเครียดช่วงปิดเทอม รวมก๊วนเพื่อนสนิทให้ครบ แล้วพากันไปกิน กิน และกิน ที่ไหนว่าดี ร้านไหนเจ๋ง ไล่เก็บให้หมด ทั้งของหวาน ของคาว ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เค้ก ไอศกรีม ฝรั่ง ไทย จีน อย่าให้พลาด.. การได้กินของอร่อยๆ นี่ล่ะสุขที่สุดแล้ว


4. ขี่จักรยานการออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานนี่ล่ะ .. ใช่เล้ยย สองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวๆ สดชื่น แจ่มใส จะเป็นตอนเช้าอากาศดีๆ รับวันใหม่ หรือจะเป็นตอนเย็น แดดร่มลมตก ดูพระอาทิตย์ตกดินก็ไม่เลวน๊า ขี่แบบออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อ หรือขี่แบบท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ดูบ้านดูเมืองรอบเกาะ

5. ออกค่ายถ้าเบื่อการท่องเที่ยวที่หรูหรา ฟู่ฟ่า ลองชวนเพื่อนไปออกค่าย ทำกิจกรรมต่างจังหวัดกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโครงการออกค่ายของพี่ๆ มหาวิทยาลัย เช่น โครงการออกค่ายกับกลุ่มองค์กร NGO ก็มีที่น่าสนใจเยอะแยะเลย ขวนขวายกันสักนิด รับรองว่าปิดเทอมนี้ได้เพื่อนใหม่กลับมาเพียบ เว็บไซต์ที่น่าสนใจสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากออกค่ายอาสาเพื่อสังคมก็มี ลองเข้าไปเช็กข่าวสารกันได้ ว่ามีค่ายอะไรที่เราสนใจบ้าง

6. โดดน้ำ เล่นน้ำตกถ้าอยู่บ้านร้อนนัก ก็ไปหาที่ดับร้อนกัน ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวทะเล ไปเที่ยวน้ำตกดูบ้าง อย่างน้ำตกทีลอซู จ.ตาก คนจริงที่รักการท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลย เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง น้ำไหลแรงตลอดปีออกแนวผจญภัยหน่อยๆ จะนั่งรถ หรือล่องแพเข้าไปก็ได้ เห็นน้ำใสๆ นั่งหย่อนเท้าเล่น หรือกระโจนลงน้ำคลายร้อนกันก็มันสะใจไปเล้ย



7. ล่องแก่งถ้าชีวิตรักความท้าทาย อย่ามัวแต่กล้าๆ กลัวๆ ปิดเทอมทั้งทีไปล่องแก่งกันดีกว่า ได้ล่องเรือ ผ่านแก่งหิน สายน้ำเชี่ยว ชีวิตมีรสชาติดีออก เส้นทางที่น่าสใจก็มี ล่องแม่กลอง ทีลอซู ล่องแก่งเมืองกาญน์ ล่องออบหลวง จ.เชียงใหม่ แต่นะนำว่า ควรศึกษาช่วงเวลาและการพายเรืออย่างปลอดภัยก่อน ..เมื่อพร้อมแล้ว ก็ ลุ้ยยยย...
8. Backpack.. แบกเป้แนวขาลุยปิดเทอมนี้ แบกเป้คู่ใจพร้อมหนีบเพื่อนสัก 3-4 คน ไปเที่ยวสไตล์ติดดิน เอามันส์กันดีกว่า มีทุนหน่อย ก็ไปลุยที่ฮิปๆ อย่างทิเบต ญี่ปุ่น จีน หรือไม่ก็ไปภูฎานนั่นเล้ยย (ที่ความฮิตยังไม่สร่างซา) ส่วนใครนิยมท่องเที่ยวไทยก็ไม่ควรพลาด กิจกรรมเดินป่า ปีเขา พายเรือยแคนนู ขี่จักรยานเสือภูเขา เที่ยวกันสไตล์คนเอ็กซ์ตรีมสุดเหวี่ยงกันไปเลย
9. ท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism)อย่ามัวทำตัวเชย ไม่เคยไปเที่ยวชม ชิม ซื้อผลิตภัณฑ์สวนเกษตรล่ะ ลองไปสัมผัสดู ได้ทั้งความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบกิจกรรม และการประกอบอาชีพทางการเกษตรแบบรู้ลึก รู้จริง จะชมสวนกาแฟ ดูการผลิต ชิมกาแฟสด หรือจะไปนั่งล้อเกวียน ชมการปลูกผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ เก็บผลผลิตกันที่ศูนย์วิจัยพืชสวน จ. แพร่ ก็สนุกไม่แพ้กัน ลองหาข้อมูล แล้วไปเที่ยวกัน รับรองว่า ได้เที่ยวเพลินจนลืมกลับบ้านแน่..
แนะนำเว็บไซต์น่าสนใจ เกี่ยวกับการเที่ยวแบบนี้ Home Stay

10. ดูดาว ..เอาบรรยากาศไปเที่ยวต่างจังหวัดทั้งที ไม่ว่าจะภูเขาหรือทะเล ควรหาโอกาสแหงนมองฟ้า ดูดาวยามค่ำคืน แล้วจะรู้ว่าบรรยกาศแบบนี้ ไม่ได้หาดูง่ายๆ ในกรุงเทพฯ เลือกวันที่ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆ ฝนไม่ตก ดูดาวอยู่ริมหาด หรือดื่มด่ำบรรยากาศดาวเต็มฟ้า อยู่บนภูเขาสูงกับเพื่อนสนิท หรือคนรู้ใจ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ













11. กินอาหารบนแพ ริมเขื่อนถ้าขี้เกียจไปเที่ยวไหนไกลๆ ขอแนะนำให้ไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี หาที่กิน เปลี่ยนบรรยกาศบ้าง จะไปรถยนต์ หรือจะใช้บริการการรถไฟ ก็สะดวกเหมือนกัน ที่นี่มีจุดชมวิวที่สวยงาม ที่สำคัญ มีร้านอาหารให้นั่งชิลๆ กินบรรยกาศบนแพริมเขื่อนด้วยเกิดอากาศร้อนๆ ก็กระโจนลงน้ำเดี๋ยวนั้นเลยก็ยังได้
12. กินอาหารทะเล.. ไม่เห็นต้องไปถึงทะเลช่วงซัมเมอร์ ใครๆ ก็แห่ไปทะเลกัน ลองหนีผุ้คนมาพักผ่อนสบายๆ แบบบรรยกาศชายทะเล ใกล้กรุงเทพฯ กัน ที่ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม กินอาหารทะเลสดๆ รับลมโชย หรือขับรถไปเที่ยวบางปู จ.สมุทรปราการ มีร้านอาหารทะเลการันตีความอร่อย เพียบบบบ มาช่วงเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก ถึงจะเป็นน้ำกร่อย แต่ขอรับรอง ทริปนี้ไม่มีกร่อยแน่ค่ะ

13. เที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศวันไหนอากาศดีๆ ขับรถไปเที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศกัน ไม่ว่าจะเป็นที่ จังหวัดพิจิตร เพชรบุรี ลพบุรี หรืออย่างที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ฟาร์มของ พล.ต. สนั่น ที่มีลักษณะเป็นรีสอร์ตให้พักค้างคืน สูดอากาศดีๆ มีบึงให้พายเรือ ขี่จักรยานหรือจะมาตั้งแคมป์ ท่ามกลางธรรมชาติ ชมไร่องุ่นและฟาร์มนกกระจอกเทศ ซื้อของฝากก่อนกลับ้าน ลองจัดโปรแกรมเที่ยวสัก 2 วัน 1 คืน ก็สนุกสุดๆ แล้ว
14. ชมเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการเที่ยวเมืองโบราณที่เดียวก็คุ้มสุดๆ เพราะที่นี่ได้จำลองสถานที่ท่องเที่ยวโบราณสถานสำคัญๆ จากทุกภาคของประเทศ มาให้เที่ยวชมกันทั้งวัน ลองขับรถเที่ยวหรือเช่าจักรยานขี่รอบเมืองก็ได้ ศึกษาประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรมทั่วไทย แถมได้ถ่ายรูปกันเพลินเชียวล่ะ


15. สยาม โอเชี่ยน เวิลด์ช่วงที่สยามโอเชี่ยน เวิลด์ เปิดใหม่ๆ น้องๆ คงกำลังขะมักเขม้นกับการเรียนกันอยู่ ปิดเทอม ก็ได้โอกาสไปลองของใหม่กับโลกใต้ทะเลแล้ว ที่นี่มีปลาทะเลสวยๆ สัตว์ทะเลหน้าตาแปลกๆ ในบรรยากาศเย็นๆ ให้ได้ตื่นตากันถึง 7 โซน ล่าสุดเขาจัดกิจกรรมดำน้ำกับฉลามด้วย พลาดไม่ได้เด็ดขาด เอาต์แล้วจะหาไม่เตือน (นะเออ)







16. ไหว้พระเก้าวัดช่วงนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน กำลังรณรงคืให้วัยรุ่นไทย หันมาใส่ใจ และใกล้ชิดพระธรรมกันมากขึ้น เอ้า! เกาะกระแสกับเขาหน่อย ขอแนะนำให้ไปไหวัพระ 9 วัด ให้ได้บุยกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะวัดใน จ.อยุธยา เพราะที่นี่มีวัดสำคัญๆ มากมายอยู่ใกล้ๆ กัน สมัครพรรคพวกนั่งรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ช่วงสายๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง เหมารถสามล้อพาเที่ยววัดทั่วเมือง แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาก่อนกลับ ก็สนุกไปอีกแบบ
17. เวิร์ก แอนด์ ทราเวลอยู่ประเทศไทยร้อนนัก หนีไปเปิดโลก กับกิจกรรม เวิร์ก แอนด์ ทราเวลดีกว่า เพราะกิจกรรมนี้ น้องๆ จะได้ฝึกทั้งทักษะการทำงาน พร้อมกับได้เงินค่าตอบแทน ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แถมให้รางวัลชีวิตด้วยการได้เที่ยว งานนี้ได้ทั้งฝึกภาษาและการใช้ชีวิต ยอมลงทุนสักนิด กำไรชีวิตก็รออยู่ตรงหน้า สนใจก็ไม่ยาก หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

18. เป็นล่าม คนไหนที่มั่นใจในวิทยายุทธ์ทางภาษามากๆ แนะนำให้ลองหารายได้เสริมจากการเป็นล่ามดู งานนี้หาได้ไม่ยาก ลองศึกษาได้จากคุณครูสอนภาษาที่โรงเรียน หรือจากบริษัทรับงานโดยตรง ซึ่งก็ต้องทำใจกันหน่อย เพราะบริษัทหักค่าเปอร์เซ็นต์ไปบ้าง แต่กคุ้ม เพราะประสบการณ์แบบนี้ ท้าทายความสามารถมากๆ เลยค่ะ สำหรับผุ้ที่สนใจอาชีพล่าม ลองเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หรือว่า โพสต์แนะนำตัว เพื่อหารายได้เสริมได้ที่นี่เลย


19. เรียนทำอาหาร เพิ่มเสน่ห์ปลายจวักใครที่อยากเพิ่มสน่ห์ให้กับตัวเอง การเรียนทำอาหารก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ปิดเทอมทั้งที น่าจะลองไปทำอาหารกันสักคอร์ส สองคอร์ส พอจะมีวิชาติดตัวเพิ่มดีกรีให้กับตัวเอง จะเป็นอาหารไทย หรือนานาชาติ ของว่าง ขนมอบ ไว้ทำกินที่บ้านหรือเป็นของขวัญสำหรับรู้ใจ ก็เป็นความคิดที่ดีนะจ๊ะ เข้าครัวคราวหน้าจะได้มั่นใจขึ้นไง
20. เรียนจัดดอกไม้เพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิตและเติมสีสันให้กับวันว่าง ไปเรียนจัดดอกไม้กันดีกว่า เพราะนอกจากจะมีความสุข อยู่ท่ามกลางดอกไม้หลากสีแล้ว ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้หญิงเราด้วยนะ เดี๋ยวนี้เขามีหลักสูตรการจัดให้เลือกตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแบบสากลที่สอนกันตั้งแต่พื้นฐาน จนถึงเป็นมืออาชีพ หรือทำเก๋เรียนการจัดแบบอิเคบานะ (Ikebana) แบบญี่ปุ่นก็อินเทรนด์น่าดู

..... สุขสันต์วันปิดเทอมนะคะ...........

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันสตรีสากล

ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบ กดขี่ ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความเป็นอยู่ของแรงงานสตรีในเมืองชิคาโก ว่ากันว่าไม่ต่างอะไรจากทาสนิโกรในเงื้อมมือคนผิวขาว เพราะต้องทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง แต่ได้รับค่าแรงานเพียงน้อยนิดส่วนสตรีตั้งครรภ์มักถูกไล่ออก ในที่สุดภายใต้การนำของ คลาร่า เซทคิน ผู้นำกรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าชาวเยอรมันลุกฮือขึ้นสู้ด้วยการเดินขบวนนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 โดยเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานจากวันละ 12-15 ชั่วโมง ให้เหลือวันละ 8 ชัวโมงพร้อมทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการภายในโรงงาน และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้ แม้จะมีหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสตรีทั้งโลก และส่งผลให้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมเริ่มสั่นคลอน
แต่อย่างไรก็ตามอีก 3 ปีต่อมา คือ ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 ข้อเรียกร้องของเหล่าบรรดากรรมกรสตรีก็ประสบความสำเร็จ เมื่อตัวแทนสตรีจาก 18 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี โดยให้ลดเวลาทำงานให้เหลือเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และกำหนดให้ค่าแรงงานสตรีเท่าเทียมกับค่าแรงงานชาย อีกทั้งยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย นอกจากนั้นในการประชุมครั้งนั้น ยังได้มีการรับรองข้อเสนอของ คลาร่า เซทคิน ด้วยการประกาศให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากล
วันสตรีสากลไม่ได้เป็นเพียงวันที่กลุ่มสตรีทั่วโลกร่วมฉลองกันท่านั้น แต่เป็นวันที่องค์กรสหประชาชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย และอีกหลายประเทศได้กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดประจำชาติของตน กลุ่มสตรีจากทุกทวีปไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือ การเมืองก็ตาม ได้รวมตัวกันเพื่อฉลองวันสำคัญนี้ เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคความยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา ผลจากการตัดสินใจของที่ประชุม ณ กรุงโคเปนเฮเกน ทำให้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1911 ในประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มีประชาชนทั้งหญิงชายมากกว่า 1 ล้านคน เข้าร่วมการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในการทำงาน การเข้ารับการอบรมในวิชาชีพ และให้ยุติการแบ่งแยกในการทำงานในปีถัดมาได้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลเพิ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน และในปี ค.ศ. 1913 มีการจัดชุมนุมวันสตรีสากลในรัสเซียเป็นครั้งแรก ที่นครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก แม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขัดขวางก็ตาม วันสตรีสากลได้จัดขึ้นโดยเชิดชูคำขวัญของขบวนการสันติภาพ ทั้งนี้เพื่อต่อต้านสงครามที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในยุโรปนับตั้งแต่ปีแรกๆ เป็นต้นมา ความสำคัญของการฉลองวันสตรีสากลได้ทวีมากขึ้น โดยมีสตรีในทวีปแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา เริ่มร่วมมือกันเพื่อทบทวนความก้าวหน้าของการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน และเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งพยายามผลักดันให้มีการตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนของสตรีอย่างสมบูรณ์
ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลกที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับบทบาทและสถานภาพสตรีโดยได้มีการดำเนินการทั้งในแง่กฏหมาย นโยบาย มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย คือ เจตนารมณ์ให้มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้ การควบคุมทรัพยากร เพื่อให้หลุดจากการกีดกันต่างๆ ให้สตรีได้มีโอกาสรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม

นมโรงเรียน










นมโรงเรียนเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น และช่วยให้เด็กไทยมีพลานามัยที่แข็งแรง แต่การทุจริตนมโรงเรียนมีมาตั้งแต่เริ่มโครงการ โดยเฉพาะที่ผู้จัดซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือเทศบาล โดยการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้ประกอบการ จากความหวังดีในการจัดตั้งโครงการนี้ กลับกลายเป็นปัญหาคาใจที่ต้องทางแก้มาตลอดเกือบทุกรัฐบาล ล่าสุด ศธ.เสนอให้มีการโซนนิ่งการจัดซื้อเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเกษตรกรไทย ให้เปลี่ยนการผลิตจากการปลูกข้าว อ้อย ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง มาเลี้ยงโคนมแทน เนื่องจากเวลานั้นเกษตรกรประสบปัญหาพืชผลทางการเกษตรที่ราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่แน่นอนเมื่อเกษตรกรหันมาเลี้ยงโคนม ปรากฏว่าไม่มีตลาดรองรับ ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีมติคณะรัฐมนตรี จัดตั้ง "โครงการนมโรงเรียน" ขึ้นในปี 2535 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตโคนม อีกทั้งส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้แก่เด็กและเยาวชนโครงการนมโรงเรียนนี้ รัฐบาลจัดงบสนับสนุนในขณะนั้นปีละ 1,700 ล้านบาท พร้อมทั้งมีเงื่อนไขว่า น้ำนมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโครงการนมโรงเรียนต้องเป็นน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศเริ่มปัญหาน้ำนมดิบในประเทศราคาสูง เป็นเหตุให้นำนมผงผสมลดต้นทุนแม้ว่าจะเป็นนโยบายที่ดูดี แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรผลิต กับราคานมผงที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาแตกต่างกันมาก โดยน้ำนมดิบของเกษตรกรในประเทศราคาโดยประมาณอยู่ที่กิโลกรัมละ 12 บาท ในขณะที่นมผงที่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคากิโลกรัมละ 8 บาทโรงงานผลิตนม พยายามบิดเบือนนโยบายของรัฐโดยแอบเอานมผงผสมน้ำเพื่อทำเป็นนมในโครงการนมโรงเรียน ความเดือดร้อนตกอยู่ที่เกษตรกรไทยเนื่องจากราคาแข่งขันกับนมผงในตลาดต่างประเทศไม่ได้รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการจำกัดโควตานำเข้านมผง จากต่างประเทศ แต่มาตรการดังกล่าวขัดกับหลักการค้าเสรี ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการกีดกันทางการค้า และต้องยกเลิกไปในที่สุดปัญหาการแข่งขันของราคานมที่เป็นวัตถุดิบเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อประเทศสหรัฐ ประกาศใช้กฎหมาย Farm Act 2002 การบังคับใช้กฎหมายนี้ทำให้ภาคเกษตรกรรมในประเทศสหรัฐฯ ได้รับเงินอุดหนุนถึง 189,000 ล้านดอลลาร์อเมริกัน ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ผลของ Farm Act ทำให้เกษตรกรในประเทศสหรัฐได้รับผลประโยชน์หลายอย่าง อาทิ ไม่มีการเก็บภาษีน้ำมันที่ใช้ในภาคการเกษตร การลดภาษีเครื่องจักร หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการเกษตร ทำให้สินค้าด้านการเกษตร มีราคาต่ำลง โดยเฉพาะนมผงที่มาจากสหรัฐฯ มีราคาอยู่ที่ประมาณ 6 บาทต่อกิโลกรัมกำลังผลิดน้ำนมดิบมีตลอดปี เกิดปัญหานมล้นตลาดช่วงปิดเทอมหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว ปัญหาเรื่องนมล้นตลาดไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากในแต่ละวันมีความต้องการน้ำนมดิบสูงถึง 1,900 ตัน แต่เกษตรกรผลิตได้เพียง 1,200-1,300 ตันต่อวันเท่านั้นแต่ปัญหาเรื่องนมล้นตลาดที่เกิดขึ้นมีอยู่ 2 ประการคือ 1.การใช้เล่ห์เหลี่ยมของผู้ประกอบการไม่ใช้น้ำนมดิบ 100% เป็นส่วนประกอบ และ 2.ในช่วงปิดเทอมก็มีปัญหาไม่มีที่ระบายน้ำนมดิบของเกษตรกร จึงเกิดปัญหานมล้นตลาด (Over supply) ดังที่เห็นได้จากข่าวที่เกษตรกรโคนมนำนมมาเททิ้งประท้วงอยู่บ่อย ๆ ในช่วงปิดเทอมปัญหาที่สำคัญคือเกษตรกรไม่สามารถควบคุมปริมาณการผลิตน้ำนมดิบได้ โดยน้ำนมดิบของเกษตรกรจะมีตลอด 365 วันหรือทั้งปี ขณะที่โครงการนมโรงเรียนมีโควตาให้เด็กนักเรียนเพียงแค่ 200 วัน เฉพาะในช่วงเปิดเทอมดังนั้นในช่วงปิดเทอมนมโรงเรียนก็เกิดปัญหาอีกเนื่องจากโรงงานไม่รับซื้อมาผลิต เพราะไม่มีความต้องการจากโรงเรียน รัฐบาลจึงแก้ปัญหาโดย เพิ่มโควตาช่วงปิดเทอมให้อีก 30 วัน เป็น 230 วันโดยในการจัดการนั้น คือให้เด็กนักเรียนหิ้วกลับบ้านในครั้งเดียว 30 กล่อง เพื่อนำไปดื่มในช่วงปิดเทอมแต่ปัญหาที่ตามมาคือ โรงงานผลิตนมขนาดเล็ก และขนาดกลางไม่สามารถผลิตนมที่มีอายุอยู่ได้ถึง 30 วัน เนื่องจากระบบการผลิตนมให้อยู่ได้นานถึง 30 วัน ต้องผลิตในระบบ UHT ซึ่งมีอายุนานกว่า แต่คุณภาพและสารอาหารน้อยกว่า นมพาสเจอไรซ์ทำให้บริษัทที่ผลิตนมขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายดังกล่าวยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ ว่าน้ำนมดิบแท้หรือปนนมผงต้องไม่ลืมว่าเงื่อนไขของรัฐบาลคือนมโครงการนมโรงเรียนต้องทำจากน้ำนมดิบ 100% แต่การตรวจสอบเพื่อดูว่ามีการผสมนมผงลงไปหรือไม่ นั้นดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. เปิดเผยว่า ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ขณะนี้ทั้งในประเทศและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยังไม่มีประเทศใดสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการปลอมปนนมผงเข้าไปหรือไม่นอกจากนี้ นมที่ผลิตจากโรงงานขนาดใหญ่มีราคาถูกกว่านมที่ผลิตโดยโรงงานขนาดเล็ก การแข่งขันด้านราคาสู้ไม่ได้ ทำให้โรงงานขนาดเล็กซึ่งรับน้ำนมดิบภายในประเทศเดือดร้อน รัฐบาลจึงเข้ามาแทรกแซงการจัดซื้อโดยกำหนดเป็น “คูปองนม” เพื่อช่วยเหลือโรงงานขนาดเล็ก กล่าวคือ การจะขายนมให้ส่วนราชการได้ ผู้ขายจะต้องมีคูปองนมซึ่งจะสามารถบอกจำนวนนมที่จะขายได้ ปัญหาที่ตามมาคือเกิดการฮั้วกันระหว่างผู้ผลิตและผู้จัดซื้อ โดยในจังหวัดนั้นๆ ได้ถูกกำหนดแล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะการประกวดราคาหรือสอบราคาการแบ่งโซน เพื่อช่วยให้โรงงานขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้ แม้เปลี่ยนรูปแบบการจัดการ แต่ทุจริตก็ยังตามมาได้ตลอดจากการสำรวจการดำเนินการตาม "โครงการนมโรงเรียน" เบื้องต้นในจังหวัด ลพบุรี สระบุรี และนครราชสีมา อาจารย์ใรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ได้เปิดเผยว่า ในโรงเรียนที่ตนสังกัดอยู่นั้น ก็ยังมีการทุจริตนมโรงเรียน ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดการมากี่ครั้งแล้วก็ตาม"การทุจริตนมโรงเรียน มีอยู่หลักๆ 3 วิธี วิธีแรกคือผู้ผลิตทำการทุจริตโดยแอบเอานมผงเข้าไปเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลไม่มีการแทรกแซงเลย บริษัทผู้ผลิตนมก็จะพากันแข่งขันกันลดคุณภาพนมเพื่อลดต้นทุนการผลิต ในระยะยาวจะทำให้มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือผู้ผลิตรายย่อย และนักเรียนที่จะต้องดื่มนมที่มีคุณภาพด้อยลง""วิธีที่สองคือการฮั้วการประมูลนมโรงเรียนโดยการแบ่งโซนนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ เนื่องจากผู้มีอำนาจใช้เครื่องมือการแบ่งโซนเอื้อผลประโยชน์ต่อโรงงานผลิตนมของเอกชน วิธีที่ 3 คือการกินหัวคิว โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ผู้ผลิตจะต้องจ่ายให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดซื้อนม"มาตรการล่าสุดในการแก้ปัญหาของรัฐบาลคือ การแบ่งโซนแบบใหม่ โดยกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้กำหนดให้ทางโรงเรียนจัดซื้อนมจากโรงงานผลิตนม โดยโรงเรียนจะต้องทำรายละเอียดเสนอด้วยว่าจะรับนมจากโรงงานนมแห่งใด โดยยึดว่าโรงงานต้องอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่เกิน 100 กิโลเมตร และเป็นนมพาสเจอไรซ์การใช้วิธีนี้เชื่อว่าจะแก้ปัญหานมโรงเรียนได้ ทำให้เด็กดื่มนมได้ภายในเช้าวันนั้นหรือก่อนเที่ยง เพราะระยะทาง 100 กิโลเมตร สามารถจัดส่งได้สะดวก นอกจากนี้ยังช่วยให้โรงงานนมในท้องถิ่นสามารถแข่งขัน กับโรงงานนมขนาดใหญ่ได้ด้วย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปหารือร่วมกัน โดย ศธ.มีหน้าที่เสนอแผนให้ กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาระวังโซนนิ่ง 100 กิโลเมตร จะได้นมคุณภาพต่ำ โรงงานนมลดต้นทุน แข่งกันดั๊มราคาอย่างไรก็ตาม อ.สมเจษ ใจภักดี ผู้จัดการโครงการสหกรณ์โคนมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี จ.ลพบุรี กล่าวถึง การกำหนดโซน รัศมี 100 กิโลเมตรที่กำลังจะดำเนินการนั้น ข้อดีคือทำให้เด็กได้ดื่มนมที่สด และมีคุณภาพมากขึ้นแต่ข้อเสียคือการกระจุกตัวของโรงงานผลิตนม โดยข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีเพียง 2 จังหวัดเท่านั้นคือนราธิวาสและภูเก็ตที่มีปัญหาไม่มีโรงงานในพื้นที่บริการในทางกลับกันหากมีในเขตพื้นที่บริการใดมีโรงงานผลิตนมมากเกินไป ปัญหาเรื่องการแข่งขันในรูปแบบต่างๆ ก็จะตามมาอย่างแน่นอน คือแข่งขันกันลดคุณภาพ ลดราคานม ผลเสียก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานที่มีพื้นที่รัศมีอยู่กับโรงงานขนาดใหญ่แม้ว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการจัดโซนนิ่งอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ถ้าวัตถุดิบหรือน้ำนมดิบในประเทศยังคงมีราคาสูง ด้านผู้ผลิตก็ต้องพยายามบิดเบือนการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตของตัวเองลง ซึ่งก็เป็นช่องทางการฮั้วกัน โดยมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการระบายนมที่ไม่มีคุณภาพสู่โรงเรียนเป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องหาคำตอบว่า การค้าเสรีตามหลักขององค์การการค้าโลกที่เป็นอยู่ในขณะนี้ประเทศไทยจะทำอย่างไร เพื่อให้น้ำนมดิบในประเทศสามารถแข่งขันได้ และถ้าหากมีการจัดโซนรัศมีขึ้นแล้วจะสร้างความยุติธรรมในการกำหนดโควตาการขายของแต่ละโรงงานได้อย่างไรทั้งนี้ทั้งนั้นจิตสำนึกร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญมาก หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นโรงงานผู้ผลิตนม ผู้ที่รับผิดชอบในการจัดซื้อนม ตระหนักถึงอนาคตของเด็กๆ ที่จะมีสุขภาพอนามัยแข็งแรงมีสมองพัฒนาประเทศในอนาคต และเห็นอกเห็นใจเกษตรกรผู้ยากจนในสังคมไทย ให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ ปัญหาต่างก็คงจะไม่เกิดขึ้น