วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

10 วิธีเซอร์ไพร้ส์ตัวเอง

รู้ไหมว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีความรู้สึก ‘เซอร์ไฟร้ส์!’
สัตว์โลกชนิดอื่นอาจสะดุ้งเมื่อหวาดกลัวหรือถูกยั่วยุ แต่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่รู้สึก ‘ประหลาดใจ’ เมื่อค้นพบและทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ซึ่งการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้นี่เองจะช่วยขยายศักยภาพของเราออกไป แต่คนส่วนใหญ่กลับรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราหยุดนิ่ง

Secret จึงขอนำเสนอวิธีเซอร์ไพร้ส์ตัวเอง 10 วิธี เป็นการอุ่นเครื่องให้หัวใจของคุณเปิดกว้างเพื่อคอยต้อนรับสิ่งใหม่ๆ
1. เพิ่มวันแสนพิเศษ หรือ Wonderful Day ลงในปฏิทินของคุณ เพื่อทำให้ชีวิตสดใส คึกคัก มีสีสัน แถมป้องกันไม่ให้คุณหัวปั่นกับการงานจนละเลยความสุขส่วนตัวหรือลืมใส่ใจคนรอบข้าง เช่น วันยิ้ม คือ วันที่คุณยิ้ม...ยิ้ม...ยิ้ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง หรือ วันกอด คือ วันที่คุณจะกอดสมาชิกในบ้านจนครบ เป็นต้น กำหนดวันพิเศษได้ตามใจอย่างนี้ จะเซอร์ไพร้ส์บ่อยแค่ไหนก็ได้ อยู่ที่ตัวคุณเอง
Wonderful Day!ลองเติมความพิเศษให้ชีวิตของคุณด้วยวันเหล่านี้
-วันสารภาพ ใครๆ ก็เคยทำผิดกันทั้งนั้น ถ้าเคลียร์ได้สักเดือนละเรื่อง คิดดูสิว่าจะสุขใจขั้นขนาดไหน
-วันทำอาหาร สำหรับคนที่ขยาดห้องครัวจนคิดว่า ‘ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้’ ลองทำอาหารโดยไม่เปิดตำราดูสิ (แต่ชิมด้วยนะ) คุณอาจค้นพบเมนูเด็ดใหม่ๆ แบบไม่คาดฝัน
-วันไม่พูด นอกจากจะเซอร์ไพร้ส์ในความอดทนของตัวเองแล้ว ความสงบใจยังเพิ่มขึ้นอีกหลายขีด ไม่เชื่อก็ลองดู
2. จัดระเบียบตู้เสื้อผ้า ลองกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วสำรวจดูซิว่าคุณต้องใช้เวลาหลายสิบนาทีกว่าจะมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าสักชุดให้ลงตัว ใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้อง ‘รื้อ พับ จัด เก็บ’เสียที เชื่อเถิดว่า ระหว่างรื้อไปจัดไป คุณจะได้วิธีจับคู่ใหม่ๆ ให้เสื้อผ้าตัวเก่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
3. ทักทายคนแปลกหน้า เพื่อฝึกทักษะการเจรจาและการควบคุมอารมณ์ ลองปลุกใจตัวเองให้กล้าหาญ แล้วเดินเข้าไปพูดคุยกับคนที่คุณรู้สึกถูกซะตา ไม่ว่าจะรู้สึกเปิ่น เขิน สั่น หรือหน้าแตกสักแค่ไหน หรือแม้จะถึงกับต้องอุทานในใจว่า ‘ช่างทำไปได้’ แต่สุดท้ายนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับตัวคุณเอง เพราะนอกจากจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นแล้ว ยังอาจจะได้เพื่อนใหม่แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย
อย่าคิดว่าคนไทยหรือคนเอเชียเท่านั้นที่ ‘ขี้อาย’ เพราะผลวิจัยบอกว่า คนอเมริกันเกือบร้อยละ 50 เชื่อว่าเขาเป็นคนขี้อายในขณะที่อีกร้อยละ 40 บอกว่าเคยเป็นคนขี้อายมาก่อน
4. หยุดแวะข้างทางเสียบ้าง หรือลองเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน เพื่อสำรวจร้านรวงข้างเคียง เปลี่ยนพฤติกรรมจากเป็นลูกค้าขาประจำร้านเดิมทุกเย็นมาเป็นนักชิมสมัครเล่น หรือลองชอปปิ้งในที่ใหม่ๆ ฯลฯ เพียงเท่านี้คุณก็เปลี่ยนบรรยากาศยามเย็นอันแสนธรรมดาให้สดใส่ขึ้นได้แล้ว ที่สำคัญการหมั่นเติมประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะกระตุ้นให้คุณใกล้ชิดความเป็นไปของสิ่งรอบตัวมากขึ้น
5. แต่งตัวแบบมีคอนเซ็ปต์ แทนที่จะแต่งตัวแบบรีบเร่ง หยิบอะไรได้ก็ใส่อันนั้น ลองคิดสไตล์การแต่งตัวแบบใหม่ๆ หรือมองหาแรงบันดาลใจตามหน้านิตยสาร จากนั้นจับคู่เสื้อผ้าให้เข้ากัน เพียงเท่านี้การเริ่มต้นวันใหม่ของคุณก็คึกคักขึ้นแล้ว รับรองว่าบุคลิกที่เปลี่ยนไปจะสร้างความแปลกใหม่ให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างอย่างคาดไม่ถึง
ว้าวได้ด้วย DIY...สวย/หล่อง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง!
เพียงแค่เปลี่ยนกระดุมก็ทำให้คาร์ดิแกนหรือเชิ้ตตัวเก่าที่คุณเริ่มเบื่อแล้วน่าใส่มากขึ้น
ติดริบบิ้นสวยๆ บริเวณรอยผ่าของกระโปรงตัวเก่า เพียงเท่านี้ก็ได้กระโปรงตัวใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว เ
เพ้นต์สีหรือปักตามแบบที่ชอบลงบนยืนส์สีดำตกยุค แค่พันต์ลวดลายหรือปักง่ายๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็จะได้ยืนส์เท่ๆ มาใส่ในแบบที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

6. เป็นคนรวยเพื่อน โลกทัศน์ของคุณจะกว้างขึ้นเมื่อได้รู้จักเพื่อนใหม่ ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความคิด และจุดประกายให้ชีวิตของเราได้อย่างคาดไม่ถึง นักท่องเน็ตจำนวนมากเรียนรู้เรื่องราวของประเทศที่เขาสนใจจากเครือข่ายเพื่อนออนไลน์ เช่น MSN-Live hi5 หรือ Facebook เมื่อมีเพื่อนที่รู้ใจมากขึ้น เหตุการณ์ประเภท “ปีนี้เธอบินมาเที่ยวบ้านฉัน ปีหน้าฉันไปเที่ยวบ้านเธอ” ก็จะกลายเป็นเรื่องแสนธรรมดาที่ไม่ต้องฝันกลางวันอีกต่อไป

ฮัลโหลโทร.ฟรี! ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถส่งเสียง (ผ่านไมค์ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์) พูดคุยกับใครต่อใครขณะที่กำลังออนไลน์ได้ฟรี เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งโบราณ ‘สไกป์’ จาก skype.com

7. ลงทะเบียนเรียนสิ่งที่ชอบ เช่น ทำขนม วาดรูป เล่นดนตรี ฝึกภาษาต่างประเทศ ฯลฯ ในยามว่าง แล้วทักษะต่างๆ ในตัวคุณจะเริ่มฉายแววและสร้างสรรค์ผลงานออกมา จนคุณเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ‘ฉันทำสิ่งนี้ได้ด้วยหรือนี่’

ตัวอย่างคอร์สเรียนที่น่าสนใจจากอมรินทร์เทรนนิ่งสำหรับเดือนพฤศจิกายนนี้

สะบัดพู่กันไปกับการวาดภาพสีน้ำ

สนุกกับคอร์สสอนการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สำหรับคนรักสวนมือใหม่

เข้าครัวเรียนรู้วิธีทำอาหารยุโรปเบื้องต้น พัฟฟ์และพายสุขภาพ หรืออาหารมังสวิรัติยอดนิยม

อบรมเรื่องขีดๆ เขียนๆ อย่างเป็นระบบกับคอร์ส “อยากเป็นนักเขียน”

8. อาสาพาว้าว! การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นทำให้รู้สึกอิ่มใจจนต้องร้องว้าว! และแทนที่จะเหนื่อยกายกลับได้แรงใจกลับบ้านไปเต็มๆ ถ้าไม่เชื่อต้องลองอาสากันดูสักที ด้วยการหมั่นติดตามข่าวสารความต้องการอาสาสมัครจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะในคอล้มน์ White-board ของ Secret นี่แหละ มีให้เลือกเพียบ!

9. ให้รางวัลชีวิต สิ่งของบางอย่างอาจมีราคาสูงจนแอบคิดว่า ‘คนอย่างฉันไม่มีทางซื้อได้’ แต่ถ้าคุณตั้งใจเก็บออมและมีความพยายามมากพอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะราคาแพงแค่ไหน คุณก็จะเป็นเจ้าของมันได้แน่นอน ลองเริ่มด้วยการหาของขวัญไว้เซอร์ไพร้ส์ตัวเองสัก 1-2 อย่างในแต่ละปี เช่น คอมพิวเตอร์ แพ็คเกจทัวร์ในฝัน หรือการทำงานที่ตนรัก ฯลฯ แม้จะต้องรอนานหน่อยกว่าจะได้ว้าว! แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

10. ใช้ชีวิตให้ช้าลง เปลี่ยนจากใช้ลิฟต์เป็นบันไดเปลี่ยนจากการใช้รถเป็นเดินบ้าง หัดงีบหลับในยามบ่ายหรือทำกับข้าวรับประทานเอง ฯลฯ เพราะการให้เวลามากขึ้นกับกิจกรรมต่างๆ จะทำให้คุณมองเห็นสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้น และสามารถค้นพบความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว ซึ่งบางทีอาจอยู่ใกล้จนคุณต้องแปลกใจ

แม้จะทำแล้วไม่สำเร็จหรือเซอร์ไพร้ส์น้อยกว่าที่คิด แต่แค่เพียงคุณเปิดใจและลงมือก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่งดงามแล้ว ดังที่ แลสส์ บราวน์ นักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า ‘จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะแม้จะไปไม่ถึง คุณก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว’ (Shoot for the moon, even if you miss’ll land among the stars)

วิธีเช็ดเส้นผมที่สระมาใหม่ ๆ ให้แห้งไว ๆ:-



ใช้เวลาน้อยที่สุด...เป่าผมที่เปียกน้ำให้แห้งไวๆ ด้วยผ้าขนหนูที่แห้งนั้นสามารถอมน้ำได้เป็นอย่างดี และตามที่เคล็ดลับ วิธีนี้ของเราได้บอกให้ใช้ผ้าขนหนูแห้งอีกผืนวางลงไปบนเส้นผมที่เปียกน้ำ อีกครั้ง แล้วค่อยให้ใช้ไดร์เป่าผม เป่าลงไปนั้น...ด้วยผ้าขนหนูจะช่วยซับน้ำ ขึ้นมาไว้ที่ตัวผ้า และไอความร้อนจากไดร์เป่าผมที่อังไปบนตัวผ้านั้นจะช่วยเร่งให้ น้ำที่ซับขึ้นมาอยู่บนผ้านั้นระเหยออกไปได้เร็วกว่าปกติอีกด้วย จึงมีสามารถที่จะ ทำให้ผมที่เปียกน้ำนั้นแห้งเร็วกว่าปกตินั่นเองค่ะ...ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเส้นผมจึงไม่ เสียนั้น ก็เป็นด้วยเพราะว่า..... ไอความร้อนจากไดร์เป่าผม นั้นไม่ผ่านไปถึงตัวเส้นผมแต่โดยตรงจึงไม่สามารถ ทำให้เส้นผมเสียแห้งกรอบได้เลยสักนิดว่าอย่างนั้น ... ...มีข้อควรระวังนิดหน่อยก็ตรงที่ว่าเวลาเป่าไดร์ไปบนผ้าขนหนูแล้วจำเป็น ที่จะต้องใช้มือคอยขยี้ไปบนผ้าขนหนูให้ทั่วด้วยนั้น ถ้าไดร์มีความร้อนมากเกินไป อาจเกิดอันตรายได้ ก็ให้ปรับระดับความร้อนให้ต่ำหน่อยก็ดีค่ะ....

เกร็ดความรู้


จากวอลมาร์ท (Walmart) ถึง โลตัส (Lotus)

วอลมาร์ท เป็นชื่อของร้านค้าแนวดิสเคาน์สโตร์สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งสาขาแรกที่มลรัฐอาคันซอ (Arkansas) ในปี พ.ศ. 2505 โดย แซม วอลตัน (SamWalton) เพื่อเป็นร้านขายของราคาถูก ปัจจุบันใช้สโลแกนว่า "Save MoneyLive Better" แทนสโลแกนเดิม คือ "Always Low Prices, Always"ซึ่งใช้มาก่อนหน้านี้ 19 ปี วอลมาร์ทยังเป็น "ต้นแบบ" ของร้านค้าประเภทเดียวกันนี้ เช่น เทสโกโลตัสและคาร์ฟูร์ ในอดีตโลตัสของซีพีที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2537 ก็ได้นำคนจากวอลมาร์ทเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและวางระบบให้ ในครั้งนั้นวอลมาร์ทเกือบจะเข้ามาขยายการลงทุนในไทย แต่ก็เลือกไปที่จีนแทน เพราะเห็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่กว่า ภายหลังกลุ่มเทสโก้เข้ามาเทคโอเวอร์โลตัส และเปลี่ยนชื่อเป็น เทสโก้โลตัสต่อมาเมื่อมีการร่วมทุนจากต่างประเทศกับกลุ่มค้าปลีกไทยมากขึ้น จึงส่งผลให้ร้านค้าปลีกในแบบดิสเคาน์สโตร์หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย
แม้ว่าวอลมาร์ทจะไม่มีสาขาในประเทศไทยแต่ในฐานะที่มียอดขายรวมมากที่สุดในโลกจึงถือเป็น "เบอร์ 1" และถือเป็น "ตำนาน"ของร้านค้าปลีกในแนวดิสเคาน์สโตร์







วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รู้จัก"สารเมลามีน"กันรึยัง



ถึงคราวที่ทั่วโลกต้องตื่นตัวอีกครั้ง เมื่อนมผงมรณะที่มีสารเมลามีนปนเปื้อนได้คร่าชีวิตทารกชาวจีนไป 4 คน และเด็กอีกครึ่งแสนต้องเผชิญกับโรคนิ่วในไต เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมผงซึ่งนำเข้าจากประเทศจีน ถูกสั่งเก็บจากท้องตลาดมาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน



หลายคนสงสัยว่า สารพิษชนิดนี้คืออะไร ทำไมถึงส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตได้ วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักเจ้าสารอันตรายนี้กันค่ะ

"เมลามีน" ถึงเวลาที่ต้องรู้จัก

จะว่าไปแล้ว เราคงจะเคยได้ยินชื่อ "เมลามีน (Melamine)" มาบ้างแล้ว เช่น ชามเมลามีน หรือ จานเมลามีน นั่นก็เพราะเจ้าสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติทนความร้อน จึงนิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์พลาสติก ไม่ว่าจะเป็นภาชนะพลาสติก ถุงพลาสติก น้ำยาดับเพลิง น้ำยาทำความสะอาด กาว หมึกสีเหลือง รวมถึงพบในยาฆ่าแมลงด้วย

สารเมลามีนนี้จัดเป็นสารอินทรีย์ มีสารฟอร์มาลดีไฮด์ หรือที่เรารู้จักกันว่า ฟอร์มาลีน เป็นส่วนประกอบมีไนโตรเจนสูงถึง 66% เป็นผงสีขาว ลักษณะคล้ายนมผงจนแยกไม่ออก เมื่อนำไปละลายน้ำ หรือผสมในนมจะตรวจพบปริมาณไนโตรเจนสูง ซึ่งการจะตรวจว่าน้ำนมนั้นมีโปรตีนสูงหรือไม่ จะวัดจากค่าของไนโตรเจน ดังนั้นถ้าผสมสารเมลามีนซึ่งมีไนโตรเจนสูงเข้าไปในน้ำนม จะถูกทำให้เข้าใจว่า น้ำนมมีโปรตีนสูง ซึ่งไม่เป็นความจริง นี่จึงเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการชาวจีนที่เห็นแก่ตัว และตั้งใจนำสารเมลามีนมาผสมกับนมผง เพื่อให้นมมีความเข้มข้นขึ้น เป็นการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ได้ตามที่มาตรฐานกำหนด

ย้อนเหตุการณ์สารเมลามีนปนเปื้อนในอาหาร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตรวจพบสารเมลามีนปนเปื้อนมาในอาหารที่นำเข้าจากจีน เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน สหรัฐอเมริกาได้สั่งเก็บอาหารสุนัข และแมวที่ทำจากแป้งสาลีซึ่งนำเข้าจากจีนเช่นกัน เนื่องจากตรวจพบสารเมลามีนในอาหารสัตว์เหล่านั้น โดยสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติเร่งการเจริญเติบโต เพิ่มปริมาณโปรตีน จึงทำให้พ่อค้าหัวใสเห็นช่องทางที่จะทำกำไร รวมทั้งผู้เลี้ยงสัตว์เมื่อเห็นราคาถูกกว่าจึงไม่รีรอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

ในครั้งนั้นมีอาหารสัตว์กว่า 100 ชนิดถูกเรียกคืน และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากเจ็บป่วยล้มตายจากภาวะตับ และไตล้มเหลว กระทรวงเกษตรฯ ของสหรัฐอเมริกาจึงประกาศห้ามเตือนไม่ให้มีการนำสารเมลามีนไปผสมในอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับสารเมลามีนเข้าไปในร่างกาย





การส่งออกของสารเมลามีน

ในประเทศจีนนั้น มีการผลิตเมลามีนจำนวนมาก และออกวางขายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะได้รับการรับรองมาตรฐาน ซึ่งสารเมลามีนนี้จะใช้ในกระบวนการผลิตภาชนะ อาหารสัตว์ และนอกจากจีนจะขายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปขายยัง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในรูปของเศษเมลามีนที่เหลือจากโรงงานพลาสติก ซึ่งมีราคาถูก โดยผู้ขายจากจีนจะใช้ชื่อว่า "ไบโอโปรตีน" หรือโปรตีนเทียม แทนชื่อเมลามีน ให้ผู้เลี้ยงสัตว์นำไปผสมในอาหารสัตว์ เพราะมีราคาถูกกว่าโปรตีนอื่นๆ ที่เป็นพวกธัญพืชหรือเนื้อสัตว์เกือบ 5 เท่า จึงลดต้นทุนการผลิตได้ แต่ในประเทศไทยเองยังตรวจไม่พบว่ามีสัตว์เสียชีวิตจากสารอันตรายนี้

อาหารที่เสี่ยงปนเปื้อนสารเมลามีน

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ มีสารเมลามีนปนเปื้อนมาในนมผง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของนมผงที่นำเข้าจาก 22 บริษัทของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นขนม ลูกอม นม คุ้กกี้ ไอศกรีม โยเกิร์ต ฯลฯ ก็เข้าข่ายเสี่ยงไปด้วย ในประเทศไทยเองสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้สั่งงดนำเข้า และขอร้องให้ร้านค้าต่างๆ งดจำหน่ายขนมที่มีแหล่งผลิตจากจีนแล้ว โดยสินค้าที่ต้องนำไปตรวจสอบก่อน ได้แก่

  • ไอศกรีมวอลล์ มอ
  • ขนมปังกรอบ และข้าวโอ๊ตรสกาแฟ ตราเหมาฮวด หรือคอฟฟี่ โอทมีล แคร็กเกอร์

  • เวเฟอร์สติ๊กไวท์ช็อคโกแลต เวเฟอร์เคลือบช็อคโกแลตขาว เครื่องหมายการค้าโอรีโอ

  • ช็อคโกแลตนมตราโดฟ

  • ถั่วลิสงคาราเมล และนูกัตเคลือบช็อคโกแลตนม ตราสนิกเกอร์ส

  • เมนทอส โยเกิร์ต มิกซ์ หรือลูกอมโยเกิร์ตกลิ่นผลไม้รวม

  • ลูกอมรสนม ยี่ห้อกระต่ายขาว

  • คุ้กกี้ช็อกโกแล็ตรูปการ์ตูนหมีโคอาล่า

  • ช็อคโกแลตนมเคลือบน้ำตาลสีต่างๆ ตราเอ็มแอนด์เอ็ม

พิษของสารเมลามีน

ฤทธิ์ของสารเมลามีนนั้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานเข้าไปโดยตรง เพียงแค่สูดดมเข้าไป หรือผิวหนังสัมผัสก็ทำให้เกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ผิวหนังอักเสบได้แล้ว ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้ารับประทานเข้าไป จะเกิดอะไรขึ้น เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเมลามีนได้ ไตจึงไม่สามารถขับสารพิษออกมาทางปัสสาวะ


ดังนั้นเมื่อสารนี้เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปสะสม จนกลายเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ และไต ก่อให้เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ทำลายระบบสืบพันธุ์ และทำให้ไตวายได้อย่างเฉียบพลัน เช่นเดียวกับเด็กทารกชาวจีนทั้ง 4 คนที่เสียชีวิต เพราะรักษาไม่ทันการณ์ ขณะที่ยังมีเด็กอีกกว่า 53,000 คน ทั้งชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเก๊า กำลังป่วยเป็นนิ่วในไตอันเป็นผลพวงมาจากสารเมลามีนนี้


ในส่วนของภาชนะที่ทำจากเมลามีนก็ต้องระวังการใช้เช่นกัน แม้ผู้ผลิตจะบอกว่า สามารถทนความร้อนได้ถึง 100 องศา แต่ก็ควรใช้งานที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส เนื่องจากหากใช้งานกับความร้อนสูง เช่น น้ำเดือดๆ อาหารที่ทอดใหม่ๆ ก็อาจทำให้สารฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งแพร่ออกมาได้ เช่นนั้นแล้ว หากจะใช้ภาชนะปรุงอาหาร หรืออุ่นไมโครเวฟ ควรใช้ผลิตภัณฑ์จากเซรามิกจะดีกว่า


วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องประหลาด




ชายที่เตี้ยที่สุดในโลก และผู้หญิงที่ขายาวที่สุดในโลก

เหอ ผิงผิง ชาวจีนจากมณฑลมองโกเลียใน ซึ่งได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติกินเนสส์บุ๊ก ว่าเป็นมนุษย์ที่เตี้ยที่สุดในโลก กำลังนั่งอยู่ระหว่างขาของ สเวเทียนา พันกราโทวา ผู้หญิงขายาวที่สุดในโลกที่จตุรัสทราฟัลการ์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 16 กันยายน โดยผิงผิงมีความสูงเพียง 2 ฟุต 5.37 นิ้ว ส่วนพันกราโทวามีขายาว 4 ฟุต 4 นิ้ว





30 วิธีหยุดโลกร้อน














1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี
2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง

3.เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb (CFL) เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก

4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี






5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%

6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์

7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย
8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร
9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ

10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ

11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก
12.เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน
13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา

14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน
15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี

16.ขับรถเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน เพราะมีบริษัทเช่ารถใหญ่ๆ 2-3 รายมีรถรุ่นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอทานอล หรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ

18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ

19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น

20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

21.ยืดอายุตู้เย็นด้วยการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานให้ตู้เย็นด้วยการใช้อย่างฉลาด ไม่นำอาหารร้อนเข้าตู้เย็น หลีกเลี่ยงการนำถุงพลาสติกใส่ของในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นจ่ายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงอาหาร ควรย้ายตู้เย็นออกจากห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ละลายน้ำแข็งที่เกาะในตู้เย็นเป็นประจำ เพราะตู้เย็นจะกินไฟมากขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งเกาะ และทำความสะอาดตู้เย็นทุกสัปดาห์

22.ริเริ่มใช้พลังงานทางเลือกในอาคารสำนักงาน เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเฉพาะจุด

23.ใช้แสงแดดให้เป็นประโยชน์ ในการตากเสื้อผ้าที่ซักแล้วให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปั่นผ้าแห้งหากไม่จำเป็น เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า

24.ใช้น้ำประปาอย่างประหยัด เพราะระบบการผลิตน้ำประปาของเทศบาลต่างๆ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำให้น้ำสะอาด และดำเนินการจัดส่งไปยังอาคารบ้านเรือน

25.ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำที่ปรับความแรงน้ำต่ำๆ ได้ เพื่อจะได้เปลืองน้ำอุ่นน้อยๆ (เหมาะทั้งในบ้านและโรงแรม)

26.ติดตั้งเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากโรงผลิตกระแสไฟฟ้า

27.สร้างนโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเต็มที่ เป็นการลดพลังงานในการกำจัดขยะ ลดมลพิษและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการกำจัด

28.ป้องกันการปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ ด้วยการแยกขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เศษอาหาร ออกจากขยะอื่นๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

29.ทาหลังคาบ้านด้วยสีอ่อน เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อน

30.นำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคารบ้านเรือน โดยใช้การออกแบบบ้าน และตำแหน่งของช่องแสงเป็นปัจจัย ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหลอดไฟและพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้



















































วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

Croissant


Croissant






A croissant (IPA: [kʁwasɑ̃] listen (help·info), anglicised variously as IPA: /krəˈsɑːnt/, /kwɑːˈsɑːn/, etc.) is a buttery flaky pastry, named for its distinctive crescent shape. It is also sometimes called a crescent[1] or crescent roll:
"On a small table at her side a tray had been left, with the remains of dejeuner; a jug stained brown with streaks of coffee; a crumbled crescent roll..."
[2]
Crescent-shaped breads have been made since the Middle Ages[
citation needed], and crescent-shaped cakes (imitating the often-worshiped Moon) possibly since classical times:
Hebrew women, in the time of Jeremiah, made in honor of the pagan goddess
Astarte (queen of heaven, queen of the moon) cakes, probably in the form of a crescent. [3]
Croissants are made of a leavened variant of
puff pastry by layering yeast dough with butter and rolling and folding a few times in succession, then rolling. Making croissants by hand requires skill and patience; a batch of croissants can take several days to complete. However, the development of factory-made, frozen, pre-formed but unbaked dough has made them into a fast food which can be freshly baked by unskilled labor. Indeed, the croissanterie was explicitly a French response to American-style fast food. This innovation, along with the croissant's versatility and distinctive shape, has made it the best-known type of French pastry in much of the world. In many parts of the United States, for example, the croissant (introduced at the fast food chains Arby's in the United States and Tim Hortons in Canada in 1983) has come to rival the long-time favorite doughnuts[citation needed].






Origin
Fanciful stories of how the bread was created are modern culinary legends. These include tales that it was invented in Poland to celebrate the defeat of a Muslim invasion at the decisive Battle of Tours by the Franks in 732, with the shape representing the Islamic crescent; that it was invented in Vienna in 1683 to celebrate the defeat of the Turkish siege of the city, as a reference to the crescents on the Turkish flags, when bakers staying up all night heard the tunneling operation and gave the alarm; tales linking croissants with the kifli and the siege of Buda in 1686; and those detailing Marie Antoinette's hankering after a Viennese specialty.
Several points argue against the connection to the Turkish invasion or to Marie-Antoinette: saving the city from the Turks would have been a major event, yet the incident seems to be only referenced by food writers (writing well after the event), and Marie-Antoinette - a closely watched monarch, with a great influence on fashion - could hardly have introduced a unique foodstuff without writers of the period having commented on it. Those who claim a connection never quote any such contemporary source; nor does an aristocratic writer, writing in 1799, mention the pastry in a long and extensive list of breakfast foods.
[4]
Alan Davidson, editor of the Oxford Companion to Food states that no printed recipe for the present-day croissant appears in any French recipe book before the early 20th century; the earliest French reference to a croissant he found was among the "fantasy or luxury breads" in Payen's Des substances alimentaires, 1853.



BAGUETTE









Baguette
History
The baguette is a descendant of the bread developed in Vienna in the mid-19th century when steam ovens were first brought into use, helping to make possible the crisp crust and the white crumb pitted with holes that still distinguish the modern baguette. Long loaves had been made for some time but in October 1920 a law prevented bakers from working before 4am, making it impossible to make the traditional, often round loaf in time for customers' breakfasts. The slender baguette solved the problem because it could be prepared and baked much more rapidly. [1]
Baguettes are closely connected to France and especially to Paris, though they are made around the world. In France, not all long loaves are baguettes; for example, a short loaf is a bâtard, a standard thicker stick is a flûte (also known in the United States as a parisienne), and a thinner loaf is a ficelle. (French breads are also made in forms such as a miche, which is a large pan loaf, and a boule, which is a round loaf similar to some peasant breads.)
Baguettes, either relatively short single-serving size or cut from a longer loaf, are very often used for
sandwiches (usually of the submarine sandwich type, but also panini); sandwich-sized loaves are sometimes known as demi-baguettes, tiers, or sometimes "Rudi rolls". Baguettes are often sliced and served with pâté or cheeses. As part of the traditional continental breakfast in France, slices of baguette are spread with jam and dunked in bowls of coffee or hot chocolate. In the United States, baguettes are sometimes split in half to make French bread pizza.
According to a joke, French law bans walking more than seven paces from a
boulangerie without pinching and tasting a just-bought baguette. The joke states that the penalty for this offense is unknown, because it is a law no one has ever been able to break.


Manufacture and styles
French
food laws define bread as a product containing only the following four ingredients: water, flour, yeast, and common salt[2]; the addition of any other ingredient to the basic recipe requires the baker to use a different name for the final product. As a result, the traditional baguette is made from a very lean dough, made from a moderately soft flour. While a typical baguette is made with a direct addition of baker's yeast, it is not unusual for artisan-style loaves to be made with a poolish or other bread pre-ferment to increase flavor complexity, as well as the addition of whole wheat flour and other grains such as rye. French bread is required by law to avoid preservatives, and as a result baguettes quite frequently go stale within a day of being baked.
Baguettes are generally made as partially free-form loaves, with the loaf formed with a series of folding and rolling motions, raised in cloth-lined baskets or in rows on a flour-impregnated towel, and baked either directly on the hearth of an oven or in special perforated pans designed to hold the shape of the baguette while allowing heat through the perforations.
Outside France, baguettes are also made with other doughs; for example, the
Vietnamese bánh mì uses a high proportion of rice flour, while many United States bakeries make whole wheat, multigrain, and sourdough baguettes alongside traditional French-style loaves. In addition, even classical French-style recipes vary from place to place, with some recipes adding small amounts of milk, butter, sugar, or malt extract





วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เพลงโดราเอมอน

เนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่น
คอนนะโคะโตะอิอินะ
เดะคิตะระอิอินะ
อันนะยูเมะคอนนะยูเมะ อิพพะอิอะรูเคะโด
มินนะมินนะมินอินะ คะนะเอะเตะคุเระรุ
ฟูชิงินะพกเก็ตโตะดะ คะนะอิเตะคูเระรู
โซราจิยูนิ โทบิตะอินะ ฮาอิ ทาเคะคอปต้า
อัง อัง อัง ตดเตะโมะดาอิซุคิ โดราเอ..มอนน...
เนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทย
เรื่องอย่างนี้ดีจังเลย
ถ้าทำได้ละก็ยอดไปเลยนะ
ความฝันเหล่านี้ เหล่านั้น
มีตั้งเยอะตั้งแยะแน่ะ
ทุกคนก็เป็นคนดี มาเติมฝันเหล่านั้นให้เต็ม
ด้วยกระเป๋าวิเศษนี้ มาช่วยเติมฝัน
อยากบินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าจังเลยนะ
ไฮ้{นี่ไง(เสียงของโดเรม่อน)}คอปเตอร์ไม้ไผ่ อัง อัง อัง ชอบมากๆ เลยล่ะ โดราเอม่อน....

เพลงโดราเอมอน








ชิซูกะ ถือได้ว่าเป็นนางเอกของเรื่องเลยค่ะ มีหนุ่มๆ ติดตรึม ซึ่งได้แก่ โนบิตะ ไจแอนท์ และ ซูเนโอะ แต่อย่างไรก็ตาม ตามโครงเรื่องแล้ว ในที่สุดชิซูกะ ก็จะต้องแต่งงานกับโนบิตะ ชิซูกะรักการอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ชิซูกะเป็นเด็กผู้หญิงใจดี และ มักจะให้อภัยและไม่ถือโกรธใคร ชิซูกะเป็นเด็กที่ขยัน และ จะทำคะแนนสอบได้ดีเสมอ (แต่สามีในอนาคตของเธอมักจะสอบได้ 0 คะแนน)






ไจแอนท์ โกดะ ทาเคชิ หรือ ไจแอนท์ ถือเป็นอัธพาลประจำกลุ่มเลยค่ะ เป็นเด็กผู้ชายที่บึกบึน และแข็งแรง แต่ร้องเพลงได้แย่ที่สุด ไจแอนท์มักจะรวมหัวกับซูเนโอะเพื่อแกล้งโนบิตะ ไจแอนท์มักจะอิรฉาซูเนโอะ และ โนบิตะ ที่มักจะมีของเล่น และ ของแปลกเสมอ และ ไจแอนท์ก็จะแย่งสิ่งของเหล่านั้นจากโนบืตะ และ ซูเนโอะ นอกจากนี้ไจแอนท์ก็ยังชอบอ่านการ์ตูน และ ไจแอนท์มักจะทำคะแนนสอบได้ค่อนข้างแย่ แต่ก็ยังไม่แย่เท่าโนบิตะ




ซูเนโอะ โฮเนะคาวะ ซูเนโอะ เป็นเด็กที่ชอบโกหก และ ขี้โกง แต่ก็ฉลาด เพราะฐานะทางบ้านที่ร่ำรวย ซูเนโอะจึงถูกตามใจตั้งแต่เด็ก และ ไม่ค่อยถูกลงโทษ ซูเนโอะอยากให้โดราเอมอนมาอยู่ด้วย เพราะต้องการของวิเศษออกมาจากกระเป๋าวิเศษของโดราเอมอน ซูเนโอะมักจะแกล้ง และ นำปัญหามาให้โนบิตะเสมอ ถึงแม้ว่าซูเนโอะจะเป็นเด็กขี้โม้ และ หัวสูง แต่ก็ยังมีนิสัยใจดีอยู่บ้าง


เดคิซูกิ ถือเป็นเด็กที่เก่งไปหมดทุกอย่าง สอบได้คะแนนดีมาก เล่นกีฬาเก่ง และ จะเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ เดคิซูกิเป็นเด็กที่มีนิสัยใจดีมาก ถ่อมตน และ ไม่พูดจาโอ้อวด โนบิตะมักจะพยายามหาวิธีให้เดคิซูกิทำการบ้านให้

เพื่อนของโดราเอมอน


โนบิตะ
โนบิตะ โนบิ ถือเป็นตัวดำเนินเรื่องเลยครับ โนบิตะเป็นเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบ มักจะสอบได้ 0 คะแนนเสมอ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ยากที่โนบิตะจะไปจีบชิซูกะ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วโนบิตะก็ได้แต่งงานกับชิซูกะเวลาที่โนบิตะมีปัญหา (มีปัญหาอยู่เสมอ) ก็จะต้องขอให้โดเรมอนช่วยทุกครั้งไป
ชีวิตส่วนใหญ่ของโนบิตะ
-ตื่นไปโรงเรียนสาย
-มักจะถูกครูดุ
-มักจะถูกแม่ดุ -
มักจะถูกไจแอนท์แกล้ง
-มักทำให้ชิซูกะโกรธ
-ชอบนอนกลางวัน
-มักจะเป็นอย่างนี้เสมอต้น เสมอปลายดี

ส่วนระกอบของโดราเอมอน


ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ


DORAEMON

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับโดราเอมอน
วันเกิด : 3 กันยายน ค.ศ.2112
เพศ : ชาย
น้ำหนัก : 129.3 กิโลกรัม
ความสูง : 129.3 เซนติเมตร
ความสามารถในการทะยานขึ้นสู่อวกาศ : 129.3 เซนติเมตร
ความเร็วในการวิ่ง : 129.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สีผิว : น้ำเงิน
อาหารโปรด : dorayaki (ขนมหวานไส้ถั่ว)
แฟน : Mi-chan (มีจัง) น้องสาว : Dorami
สิ่งที่เกลียดที่สุด : หนู
ลักษณะพิเศษ : 1. ไม่มีหู เนื่องจากหนูกัดขาด 2. กระเป๋า 4 มิติ อยู่ตรงช่องท้อง
เครื่องมือพิเศษ : takekoputa (flying device), taimu-mashin (time machine), dokodemo-doa
(wherever door), taimu-furoshiki (time-wrapping cloth), sewayaki-roupu (helping rope), mashimo-bokkus (The Box)
สถานที่หลับนอน : ตู้เก็บที่นอนในห้องของโนบิตะ