วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปิดเทอมนี้....มีไรทำ?




(กิจกรรม) 20 อย่าง ที่ไม่ควรพลาด !! สำหรับปิดเทอม
ปิดเทอมทั้งที จะมัวขลุกกันอยู่แต่ในบ้านทำไม หนังสือก็ไม่ต้องอ่าน การบ้านก็ไม่ต้องทำออกไปหากำไรให้กับชีวิต ช่วงวันหยุดกันดีกว่าค่า และถ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน"KNOCK KNOCK" ว่าไว้ว่า "อย่าคิดมากน่า! ข้างนอกมีอะไรๆ รอเราอยู่เพียบ"

1. เที่ยวทะเล..ฮาเฮถ้าเปิดเทอมหน้าร้อน ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปทะเลนะจ๊ะ หอบชุดว่ายน้ำเก๋ๆ บิกินี่ตัวเก่ง ไปเดินริมหาด เล่นน้ำทะเลใสๆ ที่หมู่เกาะสิมิลัน ไปอาบแอดริมชายหาดแถวๆ หมู่เกาะพีพี ก็เก๋ไม่เบา.. หรือจะไปดำน้ำ ดูปะการังที่หาดกะตะ จ.ภูเก็ต ก็น่าสนใจดีนะคะ.. ว่าแล้ว ก็แพ็คกระเป๋า ออกเดินทางกันเล้ยยยย






2. ตะลอนทัวร์กรุงเทพฯไม่อยากไปเที่ยวไหนไกลๆ กลัวเหนื่อย กลัวเปลือง ห่วงบ้าน ห่วงแฟน ไม่เป็นไร เที่ยวในกรุงเทพฯ นี่แหละ ดีที่สุด ไปเลย จะเดินห้าง ตากแอร์ เข้าวัดไหว้พระ แวะช้อปของร้านมือสอง ชมพิพิธภัณฑ์ซาบซึ้งศิลปะ สูดอากาศตามสวนสาธารณะ นั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายรูปรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ลองลิสต์รายชื่อสถานที่ ที่ยังไม่ได้ไปให้ครบ แล้วไปลุยกันเลย WebSite ข้อมูลท่องเที่ยวก
3. ตะเวนกินของอร่อย;วิธีพักผ่อนง่ายๆ ฉบับคลายเครียดช่วงปิดเทอม รวมก๊วนเพื่อนสนิทให้ครบ แล้วพากันไปกิน กิน และกิน ที่ไหนว่าดี ร้านไหนเจ๋ง ไล่เก็บให้หมด ทั้งของหวาน ของคาว ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เค้ก ไอศกรีม ฝรั่ง ไทย จีน อย่าให้พลาด.. การได้กินของอร่อยๆ นี่ล่ะสุขที่สุดแล้ว


4. ขี่จักรยานการออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานนี่ล่ะ .. ใช่เล้ยย สองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวๆ สดชื่น แจ่มใส จะเป็นตอนเช้าอากาศดีๆ รับวันใหม่ หรือจะเป็นตอนเย็น แดดร่มลมตก ดูพระอาทิตย์ตกดินก็ไม่เลวน๊า ขี่แบบออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อ หรือขี่แบบท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ดูบ้านดูเมืองรอบเกาะ

5. ออกค่ายถ้าเบื่อการท่องเที่ยวที่หรูหรา ฟู่ฟ่า ลองชวนเพื่อนไปออกค่าย ทำกิจกรรมต่างจังหวัดกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโครงการออกค่ายของพี่ๆ มหาวิทยาลัย เช่น โครงการออกค่ายกับกลุ่มองค์กร NGO ก็มีที่น่าสนใจเยอะแยะเลย ขวนขวายกันสักนิด รับรองว่าปิดเทอมนี้ได้เพื่อนใหม่กลับมาเพียบ เว็บไซต์ที่น่าสนใจสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากออกค่ายอาสาเพื่อสังคมก็มี ลองเข้าไปเช็กข่าวสารกันได้ ว่ามีค่ายอะไรที่เราสนใจบ้าง

6. โดดน้ำ เล่นน้ำตกถ้าอยู่บ้านร้อนนัก ก็ไปหาที่ดับร้อนกัน ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวทะเล ไปเที่ยวน้ำตกดูบ้าง อย่างน้ำตกทีลอซู จ.ตาก คนจริงที่รักการท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลย เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง น้ำไหลแรงตลอดปีออกแนวผจญภัยหน่อยๆ จะนั่งรถ หรือล่องแพเข้าไปก็ได้ เห็นน้ำใสๆ นั่งหย่อนเท้าเล่น หรือกระโจนลงน้ำคลายร้อนกันก็มันสะใจไปเล้ย



7. ล่องแก่งถ้าชีวิตรักความท้าทาย อย่ามัวแต่กล้าๆ กลัวๆ ปิดเทอมทั้งทีไปล่องแก่งกันดีกว่า ได้ล่องเรือ ผ่านแก่งหิน สายน้ำเชี่ยว ชีวิตมีรสชาติดีออก เส้นทางที่น่าสใจก็มี ล่องแม่กลอง ทีลอซู ล่องแก่งเมืองกาญน์ ล่องออบหลวง จ.เชียงใหม่ แต่นะนำว่า ควรศึกษาช่วงเวลาและการพายเรืออย่างปลอดภัยก่อน ..เมื่อพร้อมแล้ว ก็ ลุ้ยยยย...
8. Backpack.. แบกเป้แนวขาลุยปิดเทอมนี้ แบกเป้คู่ใจพร้อมหนีบเพื่อนสัก 3-4 คน ไปเที่ยวสไตล์ติดดิน เอามันส์กันดีกว่า มีทุนหน่อย ก็ไปลุยที่ฮิปๆ อย่างทิเบต ญี่ปุ่น จีน หรือไม่ก็ไปภูฎานนั่นเล้ยย (ที่ความฮิตยังไม่สร่างซา) ส่วนใครนิยมท่องเที่ยวไทยก็ไม่ควรพลาด กิจกรรมเดินป่า ปีเขา พายเรือยแคนนู ขี่จักรยานเสือภูเขา เที่ยวกันสไตล์คนเอ็กซ์ตรีมสุดเหวี่ยงกันไปเลย
9. ท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism)อย่ามัวทำตัวเชย ไม่เคยไปเที่ยวชม ชิม ซื้อผลิตภัณฑ์สวนเกษตรล่ะ ลองไปสัมผัสดู ได้ทั้งความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบกิจกรรม และการประกอบอาชีพทางการเกษตรแบบรู้ลึก รู้จริง จะชมสวนกาแฟ ดูการผลิต ชิมกาแฟสด หรือจะไปนั่งล้อเกวียน ชมการปลูกผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ เก็บผลผลิตกันที่ศูนย์วิจัยพืชสวน จ. แพร่ ก็สนุกไม่แพ้กัน ลองหาข้อมูล แล้วไปเที่ยวกัน รับรองว่า ได้เที่ยวเพลินจนลืมกลับบ้านแน่..
แนะนำเว็บไซต์น่าสนใจ เกี่ยวกับการเที่ยวแบบนี้ Home Stay

10. ดูดาว ..เอาบรรยากาศไปเที่ยวต่างจังหวัดทั้งที ไม่ว่าจะภูเขาหรือทะเล ควรหาโอกาสแหงนมองฟ้า ดูดาวยามค่ำคืน แล้วจะรู้ว่าบรรยกาศแบบนี้ ไม่ได้หาดูง่ายๆ ในกรุงเทพฯ เลือกวันที่ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆ ฝนไม่ตก ดูดาวอยู่ริมหาด หรือดื่มด่ำบรรยากาศดาวเต็มฟ้า อยู่บนภูเขาสูงกับเพื่อนสนิท หรือคนรู้ใจ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ













11. กินอาหารบนแพ ริมเขื่อนถ้าขี้เกียจไปเที่ยวไหนไกลๆ ขอแนะนำให้ไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี หาที่กิน เปลี่ยนบรรยกาศบ้าง จะไปรถยนต์ หรือจะใช้บริการการรถไฟ ก็สะดวกเหมือนกัน ที่นี่มีจุดชมวิวที่สวยงาม ที่สำคัญ มีร้านอาหารให้นั่งชิลๆ กินบรรยกาศบนแพริมเขื่อนด้วยเกิดอากาศร้อนๆ ก็กระโจนลงน้ำเดี๋ยวนั้นเลยก็ยังได้
12. กินอาหารทะเล.. ไม่เห็นต้องไปถึงทะเลช่วงซัมเมอร์ ใครๆ ก็แห่ไปทะเลกัน ลองหนีผุ้คนมาพักผ่อนสบายๆ แบบบรรยกาศชายทะเล ใกล้กรุงเทพฯ กัน ที่ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม กินอาหารทะเลสดๆ รับลมโชย หรือขับรถไปเที่ยวบางปู จ.สมุทรปราการ มีร้านอาหารทะเลการันตีความอร่อย เพียบบบบ มาช่วงเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก ถึงจะเป็นน้ำกร่อย แต่ขอรับรอง ทริปนี้ไม่มีกร่อยแน่ค่ะ

13. เที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศวันไหนอากาศดีๆ ขับรถไปเที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศกัน ไม่ว่าจะเป็นที่ จังหวัดพิจิตร เพชรบุรี ลพบุรี หรืออย่างที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ฟาร์มของ พล.ต. สนั่น ที่มีลักษณะเป็นรีสอร์ตให้พักค้างคืน สูดอากาศดีๆ มีบึงให้พายเรือ ขี่จักรยานหรือจะมาตั้งแคมป์ ท่ามกลางธรรมชาติ ชมไร่องุ่นและฟาร์มนกกระจอกเทศ ซื้อของฝากก่อนกลับ้าน ลองจัดโปรแกรมเที่ยวสัก 2 วัน 1 คืน ก็สนุกสุดๆ แล้ว
14. ชมเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการเที่ยวเมืองโบราณที่เดียวก็คุ้มสุดๆ เพราะที่นี่ได้จำลองสถานที่ท่องเที่ยวโบราณสถานสำคัญๆ จากทุกภาคของประเทศ มาให้เที่ยวชมกันทั้งวัน ลองขับรถเที่ยวหรือเช่าจักรยานขี่รอบเมืองก็ได้ ศึกษาประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรมทั่วไทย แถมได้ถ่ายรูปกันเพลินเชียวล่ะ


15. สยาม โอเชี่ยน เวิลด์ช่วงที่สยามโอเชี่ยน เวิลด์ เปิดใหม่ๆ น้องๆ คงกำลังขะมักเขม้นกับการเรียนกันอยู่ ปิดเทอม ก็ได้โอกาสไปลองของใหม่กับโลกใต้ทะเลแล้ว ที่นี่มีปลาทะเลสวยๆ สัตว์ทะเลหน้าตาแปลกๆ ในบรรยากาศเย็นๆ ให้ได้ตื่นตากันถึง 7 โซน ล่าสุดเขาจัดกิจกรรมดำน้ำกับฉลามด้วย พลาดไม่ได้เด็ดขาด เอาต์แล้วจะหาไม่เตือน (นะเออ)







16. ไหว้พระเก้าวัดช่วงนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน กำลังรณรงคืให้วัยรุ่นไทย หันมาใส่ใจ และใกล้ชิดพระธรรมกันมากขึ้น เอ้า! เกาะกระแสกับเขาหน่อย ขอแนะนำให้ไปไหวัพระ 9 วัด ให้ได้บุยกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะวัดใน จ.อยุธยา เพราะที่นี่มีวัดสำคัญๆ มากมายอยู่ใกล้ๆ กัน สมัครพรรคพวกนั่งรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ช่วงสายๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง เหมารถสามล้อพาเที่ยววัดทั่วเมือง แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาก่อนกลับ ก็สนุกไปอีกแบบ
17. เวิร์ก แอนด์ ทราเวลอยู่ประเทศไทยร้อนนัก หนีไปเปิดโลก กับกิจกรรม เวิร์ก แอนด์ ทราเวลดีกว่า เพราะกิจกรรมนี้ น้องๆ จะได้ฝึกทั้งทักษะการทำงาน พร้อมกับได้เงินค่าตอบแทน ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แถมให้รางวัลชีวิตด้วยการได้เที่ยว งานนี้ได้ทั้งฝึกภาษาและการใช้ชีวิต ยอมลงทุนสักนิด กำไรชีวิตก็รออยู่ตรงหน้า สนใจก็ไม่ยาก หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

18. เป็นล่าม คนไหนที่มั่นใจในวิทยายุทธ์ทางภาษามากๆ แนะนำให้ลองหารายได้เสริมจากการเป็นล่ามดู งานนี้หาได้ไม่ยาก ลองศึกษาได้จากคุณครูสอนภาษาที่โรงเรียน หรือจากบริษัทรับงานโดยตรง ซึ่งก็ต้องทำใจกันหน่อย เพราะบริษัทหักค่าเปอร์เซ็นต์ไปบ้าง แต่กคุ้ม เพราะประสบการณ์แบบนี้ ท้าทายความสามารถมากๆ เลยค่ะ สำหรับผุ้ที่สนใจอาชีพล่าม ลองเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หรือว่า โพสต์แนะนำตัว เพื่อหารายได้เสริมได้ที่นี่เลย


19. เรียนทำอาหาร เพิ่มเสน่ห์ปลายจวักใครที่อยากเพิ่มสน่ห์ให้กับตัวเอง การเรียนทำอาหารก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ปิดเทอมทั้งที น่าจะลองไปทำอาหารกันสักคอร์ส สองคอร์ส พอจะมีวิชาติดตัวเพิ่มดีกรีให้กับตัวเอง จะเป็นอาหารไทย หรือนานาชาติ ของว่าง ขนมอบ ไว้ทำกินที่บ้านหรือเป็นของขวัญสำหรับรู้ใจ ก็เป็นความคิดที่ดีนะจ๊ะ เข้าครัวคราวหน้าจะได้มั่นใจขึ้นไง
20. เรียนจัดดอกไม้เพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิตและเติมสีสันให้กับวันว่าง ไปเรียนจัดดอกไม้กันดีกว่า เพราะนอกจากจะมีความสุข อยู่ท่ามกลางดอกไม้หลากสีแล้ว ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้หญิงเราด้วยนะ เดี๋ยวนี้เขามีหลักสูตรการจัดให้เลือกตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแบบสากลที่สอนกันตั้งแต่พื้นฐาน จนถึงเป็นมืออาชีพ หรือทำเก๋เรียนการจัดแบบอิเคบานะ (Ikebana) แบบญี่ปุ่นก็อินเทรนด์น่าดู

..... สุขสันต์วันปิดเทอมนะคะ...........

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันสตรีสากล

ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบ กดขี่ ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความเป็นอยู่ของแรงงานสตรีในเมืองชิคาโก ว่ากันว่าไม่ต่างอะไรจากทาสนิโกรในเงื้อมมือคนผิวขาว เพราะต้องทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง แต่ได้รับค่าแรงานเพียงน้อยนิดส่วนสตรีตั้งครรภ์มักถูกไล่ออก ในที่สุดภายใต้การนำของ คลาร่า เซทคิน ผู้นำกรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าชาวเยอรมันลุกฮือขึ้นสู้ด้วยการเดินขบวนนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 โดยเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานจากวันละ 12-15 ชั่วโมง ให้เหลือวันละ 8 ชัวโมงพร้อมทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการภายในโรงงาน และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้ แม้จะมีหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสตรีทั้งโลก และส่งผลให้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมเริ่มสั่นคลอน
แต่อย่างไรก็ตามอีก 3 ปีต่อมา คือ ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 ข้อเรียกร้องของเหล่าบรรดากรรมกรสตรีก็ประสบความสำเร็จ เมื่อตัวแทนสตรีจาก 18 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี โดยให้ลดเวลาทำงานให้เหลือเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และกำหนดให้ค่าแรงงานสตรีเท่าเทียมกับค่าแรงงานชาย อีกทั้งยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย นอกจากนั้นในการประชุมครั้งนั้น ยังได้มีการรับรองข้อเสนอของ คลาร่า เซทคิน ด้วยการประกาศให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากล
วันสตรีสากลไม่ได้เป็นเพียงวันที่กลุ่มสตรีทั่วโลกร่วมฉลองกันท่านั้น แต่เป็นวันที่องค์กรสหประชาชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย และอีกหลายประเทศได้กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดประจำชาติของตน กลุ่มสตรีจากทุกทวีปไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือ การเมืองก็ตาม ได้รวมตัวกันเพื่อฉลองวันสำคัญนี้ เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคความยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา ผลจากการตัดสินใจของที่ประชุม ณ กรุงโคเปนเฮเกน ทำให้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1911 ในประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มีประชาชนทั้งหญิงชายมากกว่า 1 ล้านคน เข้าร่วมการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในการทำงาน การเข้ารับการอบรมในวิชาชีพ และให้ยุติการแบ่งแยกในการทำงานในปีถัดมาได้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลเพิ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน และในปี ค.ศ. 1913 มีการจัดชุมนุมวันสตรีสากลในรัสเซียเป็นครั้งแรก ที่นครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก แม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขัดขวางก็ตาม วันสตรีสากลได้จัดขึ้นโดยเชิดชูคำขวัญของขบวนการสันติภาพ ทั้งนี้เพื่อต่อต้านสงครามที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในยุโรปนับตั้งแต่ปีแรกๆ เป็นต้นมา ความสำคัญของการฉลองวันสตรีสากลได้ทวีมากขึ้น โดยมีสตรีในทวีปแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา เริ่มร่วมมือกันเพื่อทบทวนความก้าวหน้าของการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน และเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งพยายามผลักดันให้มีการตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนของสตรีอย่างสมบูรณ์
ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลกที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับบทบาทและสถานภาพสตรีโดยได้มีการดำเนินการทั้งในแง่กฏหมาย นโยบาย มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย คือ เจตนารมณ์ให้มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้ การควบคุมทรัพยากร เพื่อให้หลุดจากการกีดกันต่างๆ ให้สตรีได้มีโอกาสรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม

นมโรงเรียน










นมโรงเรียนเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น และช่วยให้เด็กไทยมีพลานามัยที่แข็งแรง แต่การทุจริตนมโรงเรียนมีมาตั้งแต่เริ่มโครงการ โดยเฉพาะที่ผู้จัดซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือเทศบาล โดยการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้ประกอบการ จากความหวังดีในการจัดตั้งโครงการนี้ กลับกลายเป็นปัญหาคาใจที่ต้องทางแก้มาตลอดเกือบทุกรัฐบาล ล่าสุด ศธ.เสนอให้มีการโซนนิ่งการจัดซื้อเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเกษตรกรไทย ให้เปลี่ยนการผลิตจากการปลูกข้าว อ้อย ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง มาเลี้ยงโคนมแทน เนื่องจากเวลานั้นเกษตรกรประสบปัญหาพืชผลทางการเกษตรที่ราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่แน่นอนเมื่อเกษตรกรหันมาเลี้ยงโคนม ปรากฏว่าไม่มีตลาดรองรับ ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีมติคณะรัฐมนตรี จัดตั้ง "โครงการนมโรงเรียน" ขึ้นในปี 2535 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตโคนม อีกทั้งส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้แก่เด็กและเยาวชนโครงการนมโรงเรียนนี้ รัฐบาลจัดงบสนับสนุนในขณะนั้นปีละ 1,700 ล้านบาท พร้อมทั้งมีเงื่อนไขว่า น้ำนมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโครงการนมโรงเรียนต้องเป็นน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศเริ่มปัญหาน้ำนมดิบในประเทศราคาสูง เป็นเหตุให้นำนมผงผสมลดต้นทุนแม้ว่าจะเป็นนโยบายที่ดูดี แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรผลิต กับราคานมผงที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาแตกต่างกันมาก โดยน้ำนมดิบของเกษตรกรในประเทศราคาโดยประมาณอยู่ที่กิโลกรัมละ 12 บาท ในขณะที่นมผงที่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคากิโลกรัมละ 8 บาทโรงงานผลิตนม พยายามบิดเบือนนโยบายของรัฐโดยแอบเอานมผงผสมน้ำเพื่อทำเป็นนมในโครงการนมโรงเรียน ความเดือดร้อนตกอยู่ที่เกษตรกรไทยเนื่องจากราคาแข่งขันกับนมผงในตลาดต่างประเทศไม่ได้รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการจำกัดโควตานำเข้านมผง จากต่างประเทศ แต่มาตรการดังกล่าวขัดกับหลักการค้าเสรี ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการกีดกันทางการค้า และต้องยกเลิกไปในที่สุดปัญหาการแข่งขันของราคานมที่เป็นวัตถุดิบเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อประเทศสหรัฐ ประกาศใช้กฎหมาย Farm Act 2002 การบังคับใช้กฎหมายนี้ทำให้ภาคเกษตรกรรมในประเทศสหรัฐฯ ได้รับเงินอุดหนุนถึง 189,000 ล้านดอลลาร์อเมริกัน ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ผลของ Farm Act ทำให้เกษตรกรในประเทศสหรัฐได้รับผลประโยชน์หลายอย่าง อาทิ ไม่มีการเก็บภาษีน้ำมันที่ใช้ในภาคการเกษตร การลดภาษีเครื่องจักร หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการเกษตร ทำให้สินค้าด้านการเกษตร มีราคาต่ำลง โดยเฉพาะนมผงที่มาจากสหรัฐฯ มีราคาอยู่ที่ประมาณ 6 บาทต่อกิโลกรัมกำลังผลิดน้ำนมดิบมีตลอดปี เกิดปัญหานมล้นตลาดช่วงปิดเทอมหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว ปัญหาเรื่องนมล้นตลาดไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากในแต่ละวันมีความต้องการน้ำนมดิบสูงถึง 1,900 ตัน แต่เกษตรกรผลิตได้เพียง 1,200-1,300 ตันต่อวันเท่านั้นแต่ปัญหาเรื่องนมล้นตลาดที่เกิดขึ้นมีอยู่ 2 ประการคือ 1.การใช้เล่ห์เหลี่ยมของผู้ประกอบการไม่ใช้น้ำนมดิบ 100% เป็นส่วนประกอบ และ 2.ในช่วงปิดเทอมก็มีปัญหาไม่มีที่ระบายน้ำนมดิบของเกษตรกร จึงเกิดปัญหานมล้นตลาด (Over supply) ดังที่เห็นได้จากข่าวที่เกษตรกรโคนมนำนมมาเททิ้งประท้วงอยู่บ่อย ๆ ในช่วงปิดเทอมปัญหาที่สำคัญคือเกษตรกรไม่สามารถควบคุมปริมาณการผลิตน้ำนมดิบได้ โดยน้ำนมดิบของเกษตรกรจะมีตลอด 365 วันหรือทั้งปี ขณะที่โครงการนมโรงเรียนมีโควตาให้เด็กนักเรียนเพียงแค่ 200 วัน เฉพาะในช่วงเปิดเทอมดังนั้นในช่วงปิดเทอมนมโรงเรียนก็เกิดปัญหาอีกเนื่องจากโรงงานไม่รับซื้อมาผลิต เพราะไม่มีความต้องการจากโรงเรียน รัฐบาลจึงแก้ปัญหาโดย เพิ่มโควตาช่วงปิดเทอมให้อีก 30 วัน เป็น 230 วันโดยในการจัดการนั้น คือให้เด็กนักเรียนหิ้วกลับบ้านในครั้งเดียว 30 กล่อง เพื่อนำไปดื่มในช่วงปิดเทอมแต่ปัญหาที่ตามมาคือ โรงงานผลิตนมขนาดเล็ก และขนาดกลางไม่สามารถผลิตนมที่มีอายุอยู่ได้ถึง 30 วัน เนื่องจากระบบการผลิตนมให้อยู่ได้นานถึง 30 วัน ต้องผลิตในระบบ UHT ซึ่งมีอายุนานกว่า แต่คุณภาพและสารอาหารน้อยกว่า นมพาสเจอไรซ์ทำให้บริษัทที่ผลิตนมขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายดังกล่าวยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ ว่าน้ำนมดิบแท้หรือปนนมผงต้องไม่ลืมว่าเงื่อนไขของรัฐบาลคือนมโครงการนมโรงเรียนต้องทำจากน้ำนมดิบ 100% แต่การตรวจสอบเพื่อดูว่ามีการผสมนมผงลงไปหรือไม่ นั้นดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. เปิดเผยว่า ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ขณะนี้ทั้งในประเทศและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยังไม่มีประเทศใดสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการปลอมปนนมผงเข้าไปหรือไม่นอกจากนี้ นมที่ผลิตจากโรงงานขนาดใหญ่มีราคาถูกกว่านมที่ผลิตโดยโรงงานขนาดเล็ก การแข่งขันด้านราคาสู้ไม่ได้ ทำให้โรงงานขนาดเล็กซึ่งรับน้ำนมดิบภายในประเทศเดือดร้อน รัฐบาลจึงเข้ามาแทรกแซงการจัดซื้อโดยกำหนดเป็น “คูปองนม” เพื่อช่วยเหลือโรงงานขนาดเล็ก กล่าวคือ การจะขายนมให้ส่วนราชการได้ ผู้ขายจะต้องมีคูปองนมซึ่งจะสามารถบอกจำนวนนมที่จะขายได้ ปัญหาที่ตามมาคือเกิดการฮั้วกันระหว่างผู้ผลิตและผู้จัดซื้อ โดยในจังหวัดนั้นๆ ได้ถูกกำหนดแล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะการประกวดราคาหรือสอบราคาการแบ่งโซน เพื่อช่วยให้โรงงานขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้ แม้เปลี่ยนรูปแบบการจัดการ แต่ทุจริตก็ยังตามมาได้ตลอดจากการสำรวจการดำเนินการตาม "โครงการนมโรงเรียน" เบื้องต้นในจังหวัด ลพบุรี สระบุรี และนครราชสีมา อาจารย์ใรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ได้เปิดเผยว่า ในโรงเรียนที่ตนสังกัดอยู่นั้น ก็ยังมีการทุจริตนมโรงเรียน ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดการมากี่ครั้งแล้วก็ตาม"การทุจริตนมโรงเรียน มีอยู่หลักๆ 3 วิธี วิธีแรกคือผู้ผลิตทำการทุจริตโดยแอบเอานมผงเข้าไปเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลไม่มีการแทรกแซงเลย บริษัทผู้ผลิตนมก็จะพากันแข่งขันกันลดคุณภาพนมเพื่อลดต้นทุนการผลิต ในระยะยาวจะทำให้มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือผู้ผลิตรายย่อย และนักเรียนที่จะต้องดื่มนมที่มีคุณภาพด้อยลง""วิธีที่สองคือการฮั้วการประมูลนมโรงเรียนโดยการแบ่งโซนนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ เนื่องจากผู้มีอำนาจใช้เครื่องมือการแบ่งโซนเอื้อผลประโยชน์ต่อโรงงานผลิตนมของเอกชน วิธีที่ 3 คือการกินหัวคิว โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ผู้ผลิตจะต้องจ่ายให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดซื้อนม"มาตรการล่าสุดในการแก้ปัญหาของรัฐบาลคือ การแบ่งโซนแบบใหม่ โดยกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้กำหนดให้ทางโรงเรียนจัดซื้อนมจากโรงงานผลิตนม โดยโรงเรียนจะต้องทำรายละเอียดเสนอด้วยว่าจะรับนมจากโรงงานนมแห่งใด โดยยึดว่าโรงงานต้องอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่เกิน 100 กิโลเมตร และเป็นนมพาสเจอไรซ์การใช้วิธีนี้เชื่อว่าจะแก้ปัญหานมโรงเรียนได้ ทำให้เด็กดื่มนมได้ภายในเช้าวันนั้นหรือก่อนเที่ยง เพราะระยะทาง 100 กิโลเมตร สามารถจัดส่งได้สะดวก นอกจากนี้ยังช่วยให้โรงงานนมในท้องถิ่นสามารถแข่งขัน กับโรงงานนมขนาดใหญ่ได้ด้วย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปหารือร่วมกัน โดย ศธ.มีหน้าที่เสนอแผนให้ กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาระวังโซนนิ่ง 100 กิโลเมตร จะได้นมคุณภาพต่ำ โรงงานนมลดต้นทุน แข่งกันดั๊มราคาอย่างไรก็ตาม อ.สมเจษ ใจภักดี ผู้จัดการโครงการสหกรณ์โคนมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี จ.ลพบุรี กล่าวถึง การกำหนดโซน รัศมี 100 กิโลเมตรที่กำลังจะดำเนินการนั้น ข้อดีคือทำให้เด็กได้ดื่มนมที่สด และมีคุณภาพมากขึ้นแต่ข้อเสียคือการกระจุกตัวของโรงงานผลิตนม โดยข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีเพียง 2 จังหวัดเท่านั้นคือนราธิวาสและภูเก็ตที่มีปัญหาไม่มีโรงงานในพื้นที่บริการในทางกลับกันหากมีในเขตพื้นที่บริการใดมีโรงงานผลิตนมมากเกินไป ปัญหาเรื่องการแข่งขันในรูปแบบต่างๆ ก็จะตามมาอย่างแน่นอน คือแข่งขันกันลดคุณภาพ ลดราคานม ผลเสียก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานที่มีพื้นที่รัศมีอยู่กับโรงงานขนาดใหญ่แม้ว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการจัดโซนนิ่งอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ถ้าวัตถุดิบหรือน้ำนมดิบในประเทศยังคงมีราคาสูง ด้านผู้ผลิตก็ต้องพยายามบิดเบือนการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตของตัวเองลง ซึ่งก็เป็นช่องทางการฮั้วกัน โดยมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการระบายนมที่ไม่มีคุณภาพสู่โรงเรียนเป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องหาคำตอบว่า การค้าเสรีตามหลักขององค์การการค้าโลกที่เป็นอยู่ในขณะนี้ประเทศไทยจะทำอย่างไร เพื่อให้น้ำนมดิบในประเทศสามารถแข่งขันได้ และถ้าหากมีการจัดโซนรัศมีขึ้นแล้วจะสร้างความยุติธรรมในการกำหนดโควตาการขายของแต่ละโรงงานได้อย่างไรทั้งนี้ทั้งนั้นจิตสำนึกร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญมาก หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นโรงงานผู้ผลิตนม ผู้ที่รับผิดชอบในการจัดซื้อนม ตระหนักถึงอนาคตของเด็กๆ ที่จะมีสุขภาพอนามัยแข็งแรงมีสมองพัฒนาประเทศในอนาคต และเห็นอกเห็นใจเกษตรกรผู้ยากจนในสังคมไทย ให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ ปัญหาต่างก็คงจะไม่เกิดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันวาเลนไทน์



วันวาเลนไทน์ คือ วันที่ระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) บุรุษผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่กลับต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270
วันวาเลนไทน์ มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudius (คลอดิอุส) ที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้ามไม่ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงคราม ดังนั้นทรงต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร เพราะพระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะหันไปสน ใจกับการรบมากขึ้น แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ได้ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวง ในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำพิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้าClaudius เข้า พระองค์จึงทรงสั่งทหารไปจับเขาเพื่อนำมาประหารชีวิต

ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่าน อย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว ไม่นานนักนักบุญวาเลนไทน์ก็โดนประหารชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี ค.ศ.270 ในคุกแห่งนั้นเอง แต่ก่อนตายท่านได้ฝากจดหมายถึงหญิงสาวคนนั้นและเขียนคำลงท้ายว่า "From your Valentine"

ต่อมาในปี ค.ศ.496 Pope Gelasius (โป๊ปเกลาซิอุส) ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์ เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการส่งขนมโดยเฉพาะ ช็อคโกแลตและดอกไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดอกกุหลาบให้กับคนที่เรารักค่ะ และที่ต้องเป็นดอกกุหลาบนั้นพลอยไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมมาให้เพื่อนๆ ที่สงสัยว่า ทำไมวันวาเลนไทน์ถึงต้องให้ดอกกุหลาบกัด้วย นั่นก็เพราะว่ากุหลาบถือเป็นราชินีของดอกไม้ ด้วยกลิ่นที่หอมน่าพิสมัยและความสวยงาม เลยกลายเป็นสื่อของความสุข ไมตรีจิต การบูชา และความรัก ดังนั้นดอกกุหลาบเลยกลายเป็นตัวแทนแห่งความรัก ที่นิยมนำมามอบให้กันในวันวาเลนไทน์

เมื่อมอบความรักให้กับคนรักแล้ว อย่าลืมมอบความรักให้กับคุณพ่อ คุณแม่ และคนอื่นๆ รอบข้างด้วยนะคะ

Happy Valentine's Day สวัสดีค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

วันตรุษจีน


วันตรุษจีน

นับเป็นประเพณีนิยม ในวันตรุษจีน ที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชนชาติจีนแผ่นดินใหญ่และพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน นั่นแสดงว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะมีงานรื่นเริง การสวมใสเสื้อสีแดงสด อันเป็นสีที่เป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวจีน อาจจะบอกดว่าเป็นวันครอบครัว ที่จะได้พบปะสังสรรค์ กินเลี้ยงอย่างมีความสุข ...อันเป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยการให้ทาน การทำบุญทำกุศล หรือแม้กระทั่งที่วัดจีนประชาสโมสร ก็มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทำทานในวันขึ้นปีใหม่ นำมาซึ่งความปิติ-มีความสุขเปี่ยมล้น มีผลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ทำงาน-ค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป...

เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ ภายในครอบครัว ทุกบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านเรือน ผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสะอ้านสดใส ร้านค้าห้างสรรพสินค้าต่างก็เติมไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพร ในตลาดก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินไปเดินมากันขวักไขว่ ซื้อปลาบ้าง ซื้อเนื้อสัตว์บ้าง ซื้อเป็ดไก่บ้าง ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุข ช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็กๆต่างมีความสุขมาก ต่างสวมเสื้อใหม่ ทานลูกกวาดขนมหวาน เล่นพลุประทัดอย่างรื่นเริง

คืนก่อนวันปีใหม่ คือวันสุดท้ายของปีนั่นเองเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่









ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน
ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง

ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น

วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า"Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน
อาหารไหว้เจ้า





ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความหมายที่เป็น มงคลในตัวของมันเม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชายเกาลัด - มีความหมายถึง เงิน สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวยเต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุขหน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข
อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาวทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน

ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

- กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
- แอปเปิ้ล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ
- สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)
- ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล
- องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน





ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

- ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์
- เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย
- ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์
- หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

- ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)
- บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว
- เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก
- ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน
- สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย
- หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า

ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน






- ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

- ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

- ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

- ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
- ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

- ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค
- จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป







ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน







- ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
- หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
- การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี- วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล
- บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
- การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
- ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน

มักเรียกวันก่อนหน้าวันไหว้ว่า "วันจ่าย" เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ของใช้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าจะปิดธุรกิจหลายวัน การไหว้ตรุษจีนจะนิยมเรียกกันว่า "วันชิวอิด" แปลว่า วันที่ 1 มีความน่าสนใจตรงที่ว่า คนจีนจะไหว้ "ไช้ซิ้งเอี๊ย" หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ในเวลากลางดึกเมื่อเวลาย่างเข้าวันตรุษหรือวันชิงอิดไช้ แปลว่า โชคซิ้ง และเอี๊ย แปลว่า เจ้านอกจากนี้เวลาไหว้ยังมีฤกษ์ยาม และทิศที่จะตั้งโต๊ะไหว้ ยังเป็นทิศ และเวลาเฉพาะในแต่ละปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ของไหว้จะไหว้ง่ายๆ ด้วยส้ม และโหงวเส็กทึ้งกับนำชาส้ม คนจีนเรียกว่า กา หรือ "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานโชคดี และใช้ให้เป็นของขวัญ...นำโชคมามอบให้แก่กันโหงวเส็กทึ้ง แปลว่า ขนม 5 สี ได้แก่ ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ถั่วเคลือบน้ำตาล และฟักเชื่อม บางทีก็เรียกว่า "ขนมจันอับ" หรือ "แต่เหลียง"บางบ้านมีการไหว้อาหารเจแห้ง ให้แก่บรรพบุรุษด้วยบางบ้านนิยมเปิดไฟไว้ที่ศาลเจ้าที่ "ตี่จู่เอี๊ย" เพื่อรอรับวันที่เจ้าที่จะเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 4 เดือน 1 ของจีน ในวันตรุษจีน หรือวันชิวอิด ในหมู่คนจีนจะทราบกันว่า นี่คือ "วันถือ" ถือที่จะทำในสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ "หออ่วย" แปลว่า คำดีๆ ไม่อารมณ์เสียหงุดหงิด ไม่ทำงานหนัก เพื่อที่ว่าตลอดปีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักนัก ไม่กวาดบ้าน เพราะอาจปัดสิ่งดีๆ มีมงคลออกไป แล้วกวาดความไม่ดีเข้ามา เริ่มต้นเช้าวันตรุษ คนในบ้านก็จะทักทายกันด้วยคำอวยพร "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" หมายถึง เวลาใหม่ให้สมใจ ปีใหม่ให้สมปรารถนา
อั้งเปา" ในวันตรุษจีน มีคำจีนโบราณเรียกว่า "เอี๊ยบซ้วยจี๊" เป็นเงินสิริมงคลที่ผู้ใหญ่ให้แก่ลูกหลาน เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเจริญก้าวหน้า
ธรรมเนียมหนึ่งในวันตรุษจีนคือการไป "ไป๊เจีย" หรือการไปไหว้ขอพร และอวยพรผู้ใหญ่ หรือญาติมิตร โดยส้มสีทอง 4 ผลห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย ที่นิยมใช้กันแต่ส้มสีทอง ไม่ใช้ส้มเขียว เพราะสีทองเป็นสีมงคล ทองอร่ามเรืองจะอวยพรให้รุ่งเรืองเช่นเดียวกับส้ม ที่คนจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี ส้มสีทองที่มอบแก่กันคือ นัยอวยพรให้ "นี้นี้ไต้กิก" แปลว่า ทุกๆ ปีให้โชคดีตลอดไปส้มสีทอง 4 ใบ เมื่อเจ้าบ้านรับไป จะเป็นการรับไปเปลี่ยนว่าเปลี่ยนส้ม 2 ใบของแขกกับ 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบคืน ให้แขกนำกลับไป 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบ คืนให้แขกนำกลับไป หมายถึง การที่ต่างฝ่าย ต่างให้โชคดีแก่กัน
การติดฮู้ เป็นธรรมเนียมที่นิยมถือทำในวันตรุษจีน เช่น การติด "ฮู้" หรือยันต์แผ่นใหม่ เพื่อคุ้มครองบ้าน ติด "ตุ้ยเลี้ยง" หรือแผ่นคำอวยพรที่ปากทางเข้าบ้านไหว้เจ้า การไหว้เจ้าเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ลูกหลานจีนปฏิบัติสืบทอดกันมา ตามความเชื่อที่จะต้องไหว้เจ้าที่ และไหว้บรรพบุรุษ เพื่อให้เป็นสิริมงคล และนำมาซึ่งความสุข ความเจริญแก่ครอบครัว

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

10 วิธีเซอร์ไพร้ส์ตัวเอง

รู้ไหมว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีความรู้สึก ‘เซอร์ไฟร้ส์!’
สัตว์โลกชนิดอื่นอาจสะดุ้งเมื่อหวาดกลัวหรือถูกยั่วยุ แต่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่รู้สึก ‘ประหลาดใจ’ เมื่อค้นพบและทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ซึ่งการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้นี่เองจะช่วยขยายศักยภาพของเราออกไป แต่คนส่วนใหญ่กลับรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราหยุดนิ่ง

Secret จึงขอนำเสนอวิธีเซอร์ไพร้ส์ตัวเอง 10 วิธี เป็นการอุ่นเครื่องให้หัวใจของคุณเปิดกว้างเพื่อคอยต้อนรับสิ่งใหม่ๆ
1. เพิ่มวันแสนพิเศษ หรือ Wonderful Day ลงในปฏิทินของคุณ เพื่อทำให้ชีวิตสดใส คึกคัก มีสีสัน แถมป้องกันไม่ให้คุณหัวปั่นกับการงานจนละเลยความสุขส่วนตัวหรือลืมใส่ใจคนรอบข้าง เช่น วันยิ้ม คือ วันที่คุณยิ้ม...ยิ้ม...ยิ้ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง หรือ วันกอด คือ วันที่คุณจะกอดสมาชิกในบ้านจนครบ เป็นต้น กำหนดวันพิเศษได้ตามใจอย่างนี้ จะเซอร์ไพร้ส์บ่อยแค่ไหนก็ได้ อยู่ที่ตัวคุณเอง
Wonderful Day!ลองเติมความพิเศษให้ชีวิตของคุณด้วยวันเหล่านี้
-วันสารภาพ ใครๆ ก็เคยทำผิดกันทั้งนั้น ถ้าเคลียร์ได้สักเดือนละเรื่อง คิดดูสิว่าจะสุขใจขั้นขนาดไหน
-วันทำอาหาร สำหรับคนที่ขยาดห้องครัวจนคิดว่า ‘ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้’ ลองทำอาหารโดยไม่เปิดตำราดูสิ (แต่ชิมด้วยนะ) คุณอาจค้นพบเมนูเด็ดใหม่ๆ แบบไม่คาดฝัน
-วันไม่พูด นอกจากจะเซอร์ไพร้ส์ในความอดทนของตัวเองแล้ว ความสงบใจยังเพิ่มขึ้นอีกหลายขีด ไม่เชื่อก็ลองดู
2. จัดระเบียบตู้เสื้อผ้า ลองกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วสำรวจดูซิว่าคุณต้องใช้เวลาหลายสิบนาทีกว่าจะมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าสักชุดให้ลงตัว ใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้อง ‘รื้อ พับ จัด เก็บ’เสียที เชื่อเถิดว่า ระหว่างรื้อไปจัดไป คุณจะได้วิธีจับคู่ใหม่ๆ ให้เสื้อผ้าตัวเก่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
3. ทักทายคนแปลกหน้า เพื่อฝึกทักษะการเจรจาและการควบคุมอารมณ์ ลองปลุกใจตัวเองให้กล้าหาญ แล้วเดินเข้าไปพูดคุยกับคนที่คุณรู้สึกถูกซะตา ไม่ว่าจะรู้สึกเปิ่น เขิน สั่น หรือหน้าแตกสักแค่ไหน หรือแม้จะถึงกับต้องอุทานในใจว่า ‘ช่างทำไปได้’ แต่สุดท้ายนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับตัวคุณเอง เพราะนอกจากจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นแล้ว ยังอาจจะได้เพื่อนใหม่แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย
อย่าคิดว่าคนไทยหรือคนเอเชียเท่านั้นที่ ‘ขี้อาย’ เพราะผลวิจัยบอกว่า คนอเมริกันเกือบร้อยละ 50 เชื่อว่าเขาเป็นคนขี้อายในขณะที่อีกร้อยละ 40 บอกว่าเคยเป็นคนขี้อายมาก่อน
4. หยุดแวะข้างทางเสียบ้าง หรือลองเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน เพื่อสำรวจร้านรวงข้างเคียง เปลี่ยนพฤติกรรมจากเป็นลูกค้าขาประจำร้านเดิมทุกเย็นมาเป็นนักชิมสมัครเล่น หรือลองชอปปิ้งในที่ใหม่ๆ ฯลฯ เพียงเท่านี้คุณก็เปลี่ยนบรรยากาศยามเย็นอันแสนธรรมดาให้สดใส่ขึ้นได้แล้ว ที่สำคัญการหมั่นเติมประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะกระตุ้นให้คุณใกล้ชิดความเป็นไปของสิ่งรอบตัวมากขึ้น
5. แต่งตัวแบบมีคอนเซ็ปต์ แทนที่จะแต่งตัวแบบรีบเร่ง หยิบอะไรได้ก็ใส่อันนั้น ลองคิดสไตล์การแต่งตัวแบบใหม่ๆ หรือมองหาแรงบันดาลใจตามหน้านิตยสาร จากนั้นจับคู่เสื้อผ้าให้เข้ากัน เพียงเท่านี้การเริ่มต้นวันใหม่ของคุณก็คึกคักขึ้นแล้ว รับรองว่าบุคลิกที่เปลี่ยนไปจะสร้างความแปลกใหม่ให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างอย่างคาดไม่ถึง
ว้าวได้ด้วย DIY...สวย/หล่อง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง!
เพียงแค่เปลี่ยนกระดุมก็ทำให้คาร์ดิแกนหรือเชิ้ตตัวเก่าที่คุณเริ่มเบื่อแล้วน่าใส่มากขึ้น
ติดริบบิ้นสวยๆ บริเวณรอยผ่าของกระโปรงตัวเก่า เพียงเท่านี้ก็ได้กระโปรงตัวใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว เ
เพ้นต์สีหรือปักตามแบบที่ชอบลงบนยืนส์สีดำตกยุค แค่พันต์ลวดลายหรือปักง่ายๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็จะได้ยืนส์เท่ๆ มาใส่ในแบบที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

6. เป็นคนรวยเพื่อน โลกทัศน์ของคุณจะกว้างขึ้นเมื่อได้รู้จักเพื่อนใหม่ ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความคิด และจุดประกายให้ชีวิตของเราได้อย่างคาดไม่ถึง นักท่องเน็ตจำนวนมากเรียนรู้เรื่องราวของประเทศที่เขาสนใจจากเครือข่ายเพื่อนออนไลน์ เช่น MSN-Live hi5 หรือ Facebook เมื่อมีเพื่อนที่รู้ใจมากขึ้น เหตุการณ์ประเภท “ปีนี้เธอบินมาเที่ยวบ้านฉัน ปีหน้าฉันไปเที่ยวบ้านเธอ” ก็จะกลายเป็นเรื่องแสนธรรมดาที่ไม่ต้องฝันกลางวันอีกต่อไป

ฮัลโหลโทร.ฟรี! ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถส่งเสียง (ผ่านไมค์ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์) พูดคุยกับใครต่อใครขณะที่กำลังออนไลน์ได้ฟรี เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งโบราณ ‘สไกป์’ จาก skype.com

7. ลงทะเบียนเรียนสิ่งที่ชอบ เช่น ทำขนม วาดรูป เล่นดนตรี ฝึกภาษาต่างประเทศ ฯลฯ ในยามว่าง แล้วทักษะต่างๆ ในตัวคุณจะเริ่มฉายแววและสร้างสรรค์ผลงานออกมา จนคุณเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ‘ฉันทำสิ่งนี้ได้ด้วยหรือนี่’

ตัวอย่างคอร์สเรียนที่น่าสนใจจากอมรินทร์เทรนนิ่งสำหรับเดือนพฤศจิกายนนี้

สะบัดพู่กันไปกับการวาดภาพสีน้ำ

สนุกกับคอร์สสอนการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สำหรับคนรักสวนมือใหม่

เข้าครัวเรียนรู้วิธีทำอาหารยุโรปเบื้องต้น พัฟฟ์และพายสุขภาพ หรืออาหารมังสวิรัติยอดนิยม

อบรมเรื่องขีดๆ เขียนๆ อย่างเป็นระบบกับคอร์ส “อยากเป็นนักเขียน”

8. อาสาพาว้าว! การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นทำให้รู้สึกอิ่มใจจนต้องร้องว้าว! และแทนที่จะเหนื่อยกายกลับได้แรงใจกลับบ้านไปเต็มๆ ถ้าไม่เชื่อต้องลองอาสากันดูสักที ด้วยการหมั่นติดตามข่าวสารความต้องการอาสาสมัครจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะในคอล้มน์ White-board ของ Secret นี่แหละ มีให้เลือกเพียบ!

9. ให้รางวัลชีวิต สิ่งของบางอย่างอาจมีราคาสูงจนแอบคิดว่า ‘คนอย่างฉันไม่มีทางซื้อได้’ แต่ถ้าคุณตั้งใจเก็บออมและมีความพยายามมากพอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะราคาแพงแค่ไหน คุณก็จะเป็นเจ้าของมันได้แน่นอน ลองเริ่มด้วยการหาของขวัญไว้เซอร์ไพร้ส์ตัวเองสัก 1-2 อย่างในแต่ละปี เช่น คอมพิวเตอร์ แพ็คเกจทัวร์ในฝัน หรือการทำงานที่ตนรัก ฯลฯ แม้จะต้องรอนานหน่อยกว่าจะได้ว้าว! แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

10. ใช้ชีวิตให้ช้าลง เปลี่ยนจากใช้ลิฟต์เป็นบันไดเปลี่ยนจากการใช้รถเป็นเดินบ้าง หัดงีบหลับในยามบ่ายหรือทำกับข้าวรับประทานเอง ฯลฯ เพราะการให้เวลามากขึ้นกับกิจกรรมต่างๆ จะทำให้คุณมองเห็นสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้น และสามารถค้นพบความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว ซึ่งบางทีอาจอยู่ใกล้จนคุณต้องแปลกใจ

แม้จะทำแล้วไม่สำเร็จหรือเซอร์ไพร้ส์น้อยกว่าที่คิด แต่แค่เพียงคุณเปิดใจและลงมือก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่งดงามแล้ว ดังที่ แลสส์ บราวน์ นักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า ‘จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะแม้จะไปไม่ถึง คุณก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว’ (Shoot for the moon, even if you miss’ll land among the stars)

วิธีเช็ดเส้นผมที่สระมาใหม่ ๆ ให้แห้งไว ๆ:-



ใช้เวลาน้อยที่สุด...เป่าผมที่เปียกน้ำให้แห้งไวๆ ด้วยผ้าขนหนูที่แห้งนั้นสามารถอมน้ำได้เป็นอย่างดี และตามที่เคล็ดลับ วิธีนี้ของเราได้บอกให้ใช้ผ้าขนหนูแห้งอีกผืนวางลงไปบนเส้นผมที่เปียกน้ำ อีกครั้ง แล้วค่อยให้ใช้ไดร์เป่าผม เป่าลงไปนั้น...ด้วยผ้าขนหนูจะช่วยซับน้ำ ขึ้นมาไว้ที่ตัวผ้า และไอความร้อนจากไดร์เป่าผมที่อังไปบนตัวผ้านั้นจะช่วยเร่งให้ น้ำที่ซับขึ้นมาอยู่บนผ้านั้นระเหยออกไปได้เร็วกว่าปกติอีกด้วย จึงมีสามารถที่จะ ทำให้ผมที่เปียกน้ำนั้นแห้งเร็วกว่าปกตินั่นเองค่ะ...ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเส้นผมจึงไม่ เสียนั้น ก็เป็นด้วยเพราะว่า..... ไอความร้อนจากไดร์เป่าผม นั้นไม่ผ่านไปถึงตัวเส้นผมแต่โดยตรงจึงไม่สามารถ ทำให้เส้นผมเสียแห้งกรอบได้เลยสักนิดว่าอย่างนั้น ... ...มีข้อควรระวังนิดหน่อยก็ตรงที่ว่าเวลาเป่าไดร์ไปบนผ้าขนหนูแล้วจำเป็น ที่จะต้องใช้มือคอยขยี้ไปบนผ้าขนหนูให้ทั่วด้วยนั้น ถ้าไดร์มีความร้อนมากเกินไป อาจเกิดอันตรายได้ ก็ให้ปรับระดับความร้อนให้ต่ำหน่อยก็ดีค่ะ....