วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

วันตรุษจีน


วันตรุษจีน

นับเป็นประเพณีนิยม ในวันตรุษจีน ที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชนชาติจีนแผ่นดินใหญ่และพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน นั่นแสดงว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะมีงานรื่นเริง การสวมใสเสื้อสีแดงสด อันเป็นสีที่เป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวจีน อาจจะบอกดว่าเป็นวันครอบครัว ที่จะได้พบปะสังสรรค์ กินเลี้ยงอย่างมีความสุข ...อันเป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยการให้ทาน การทำบุญทำกุศล หรือแม้กระทั่งที่วัดจีนประชาสโมสร ก็มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทำทานในวันขึ้นปีใหม่ นำมาซึ่งความปิติ-มีความสุขเปี่ยมล้น มีผลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ทำงาน-ค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป...

เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ ภายในครอบครัว ทุกบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านเรือน ผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสะอ้านสดใส ร้านค้าห้างสรรพสินค้าต่างก็เติมไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพร ในตลาดก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินไปเดินมากันขวักไขว่ ซื้อปลาบ้าง ซื้อเนื้อสัตว์บ้าง ซื้อเป็ดไก่บ้าง ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุข ช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็กๆต่างมีความสุขมาก ต่างสวมเสื้อใหม่ ทานลูกกวาดขนมหวาน เล่นพลุประทัดอย่างรื่นเริง

คืนก่อนวันปีใหม่ คือวันสุดท้ายของปีนั่นเองเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่









ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน
ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง

ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น

วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า"Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน
อาหารไหว้เจ้า





ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความหมายที่เป็น มงคลในตัวของมันเม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชายเกาลัด - มีความหมายถึง เงิน สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวยเต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุขหน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข
อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาวทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน

ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

- กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
- แอปเปิ้ล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ
- สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)
- ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล
- องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน





ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

- ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์
- เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย
- ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์
- หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

- ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)
- บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว
- เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก
- ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน
- สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย
- หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า

ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน






- ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

- ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

- ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

- ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
- ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

- ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค
- จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป







ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน







- ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
- หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
- การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี- วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล
- บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
- การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
- ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน

มักเรียกวันก่อนหน้าวันไหว้ว่า "วันจ่าย" เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ของใช้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าจะปิดธุรกิจหลายวัน การไหว้ตรุษจีนจะนิยมเรียกกันว่า "วันชิวอิด" แปลว่า วันที่ 1 มีความน่าสนใจตรงที่ว่า คนจีนจะไหว้ "ไช้ซิ้งเอี๊ย" หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ในเวลากลางดึกเมื่อเวลาย่างเข้าวันตรุษหรือวันชิงอิดไช้ แปลว่า โชคซิ้ง และเอี๊ย แปลว่า เจ้านอกจากนี้เวลาไหว้ยังมีฤกษ์ยาม และทิศที่จะตั้งโต๊ะไหว้ ยังเป็นทิศ และเวลาเฉพาะในแต่ละปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ของไหว้จะไหว้ง่ายๆ ด้วยส้ม และโหงวเส็กทึ้งกับนำชาส้ม คนจีนเรียกว่า กา หรือ "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานโชคดี และใช้ให้เป็นของขวัญ...นำโชคมามอบให้แก่กันโหงวเส็กทึ้ง แปลว่า ขนม 5 สี ได้แก่ ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ถั่วเคลือบน้ำตาล และฟักเชื่อม บางทีก็เรียกว่า "ขนมจันอับ" หรือ "แต่เหลียง"บางบ้านมีการไหว้อาหารเจแห้ง ให้แก่บรรพบุรุษด้วยบางบ้านนิยมเปิดไฟไว้ที่ศาลเจ้าที่ "ตี่จู่เอี๊ย" เพื่อรอรับวันที่เจ้าที่จะเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 4 เดือน 1 ของจีน ในวันตรุษจีน หรือวันชิวอิด ในหมู่คนจีนจะทราบกันว่า นี่คือ "วันถือ" ถือที่จะทำในสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ "หออ่วย" แปลว่า คำดีๆ ไม่อารมณ์เสียหงุดหงิด ไม่ทำงานหนัก เพื่อที่ว่าตลอดปีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักนัก ไม่กวาดบ้าน เพราะอาจปัดสิ่งดีๆ มีมงคลออกไป แล้วกวาดความไม่ดีเข้ามา เริ่มต้นเช้าวันตรุษ คนในบ้านก็จะทักทายกันด้วยคำอวยพร "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" หมายถึง เวลาใหม่ให้สมใจ ปีใหม่ให้สมปรารถนา
อั้งเปา" ในวันตรุษจีน มีคำจีนโบราณเรียกว่า "เอี๊ยบซ้วยจี๊" เป็นเงินสิริมงคลที่ผู้ใหญ่ให้แก่ลูกหลาน เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเจริญก้าวหน้า
ธรรมเนียมหนึ่งในวันตรุษจีนคือการไป "ไป๊เจีย" หรือการไปไหว้ขอพร และอวยพรผู้ใหญ่ หรือญาติมิตร โดยส้มสีทอง 4 ผลห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย ที่นิยมใช้กันแต่ส้มสีทอง ไม่ใช้ส้มเขียว เพราะสีทองเป็นสีมงคล ทองอร่ามเรืองจะอวยพรให้รุ่งเรืองเช่นเดียวกับส้ม ที่คนจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี ส้มสีทองที่มอบแก่กันคือ นัยอวยพรให้ "นี้นี้ไต้กิก" แปลว่า ทุกๆ ปีให้โชคดีตลอดไปส้มสีทอง 4 ใบ เมื่อเจ้าบ้านรับไป จะเป็นการรับไปเปลี่ยนว่าเปลี่ยนส้ม 2 ใบของแขกกับ 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบคืน ให้แขกนำกลับไป 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบ คืนให้แขกนำกลับไป หมายถึง การที่ต่างฝ่าย ต่างให้โชคดีแก่กัน
การติดฮู้ เป็นธรรมเนียมที่นิยมถือทำในวันตรุษจีน เช่น การติด "ฮู้" หรือยันต์แผ่นใหม่ เพื่อคุ้มครองบ้าน ติด "ตุ้ยเลี้ยง" หรือแผ่นคำอวยพรที่ปากทางเข้าบ้านไหว้เจ้า การไหว้เจ้าเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ลูกหลานจีนปฏิบัติสืบทอดกันมา ตามความเชื่อที่จะต้องไหว้เจ้าที่ และไหว้บรรพบุรุษ เพื่อให้เป็นสิริมงคล และนำมาซึ่งความสุข ความเจริญแก่ครอบครัว

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

10 วิธีเซอร์ไพร้ส์ตัวเอง

รู้ไหมว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีความรู้สึก ‘เซอร์ไฟร้ส์!’
สัตว์โลกชนิดอื่นอาจสะดุ้งเมื่อหวาดกลัวหรือถูกยั่วยุ แต่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่รู้สึก ‘ประหลาดใจ’ เมื่อค้นพบและทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ซึ่งการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้นี่เองจะช่วยขยายศักยภาพของเราออกไป แต่คนส่วนใหญ่กลับรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราหยุดนิ่ง

Secret จึงขอนำเสนอวิธีเซอร์ไพร้ส์ตัวเอง 10 วิธี เป็นการอุ่นเครื่องให้หัวใจของคุณเปิดกว้างเพื่อคอยต้อนรับสิ่งใหม่ๆ
1. เพิ่มวันแสนพิเศษ หรือ Wonderful Day ลงในปฏิทินของคุณ เพื่อทำให้ชีวิตสดใส คึกคัก มีสีสัน แถมป้องกันไม่ให้คุณหัวปั่นกับการงานจนละเลยความสุขส่วนตัวหรือลืมใส่ใจคนรอบข้าง เช่น วันยิ้ม คือ วันที่คุณยิ้ม...ยิ้ม...ยิ้ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง หรือ วันกอด คือ วันที่คุณจะกอดสมาชิกในบ้านจนครบ เป็นต้น กำหนดวันพิเศษได้ตามใจอย่างนี้ จะเซอร์ไพร้ส์บ่อยแค่ไหนก็ได้ อยู่ที่ตัวคุณเอง
Wonderful Day!ลองเติมความพิเศษให้ชีวิตของคุณด้วยวันเหล่านี้
-วันสารภาพ ใครๆ ก็เคยทำผิดกันทั้งนั้น ถ้าเคลียร์ได้สักเดือนละเรื่อง คิดดูสิว่าจะสุขใจขั้นขนาดไหน
-วันทำอาหาร สำหรับคนที่ขยาดห้องครัวจนคิดว่า ‘ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้’ ลองทำอาหารโดยไม่เปิดตำราดูสิ (แต่ชิมด้วยนะ) คุณอาจค้นพบเมนูเด็ดใหม่ๆ แบบไม่คาดฝัน
-วันไม่พูด นอกจากจะเซอร์ไพร้ส์ในความอดทนของตัวเองแล้ว ความสงบใจยังเพิ่มขึ้นอีกหลายขีด ไม่เชื่อก็ลองดู
2. จัดระเบียบตู้เสื้อผ้า ลองกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วสำรวจดูซิว่าคุณต้องใช้เวลาหลายสิบนาทีกว่าจะมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าสักชุดให้ลงตัว ใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้อง ‘รื้อ พับ จัด เก็บ’เสียที เชื่อเถิดว่า ระหว่างรื้อไปจัดไป คุณจะได้วิธีจับคู่ใหม่ๆ ให้เสื้อผ้าตัวเก่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
3. ทักทายคนแปลกหน้า เพื่อฝึกทักษะการเจรจาและการควบคุมอารมณ์ ลองปลุกใจตัวเองให้กล้าหาญ แล้วเดินเข้าไปพูดคุยกับคนที่คุณรู้สึกถูกซะตา ไม่ว่าจะรู้สึกเปิ่น เขิน สั่น หรือหน้าแตกสักแค่ไหน หรือแม้จะถึงกับต้องอุทานในใจว่า ‘ช่างทำไปได้’ แต่สุดท้ายนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับตัวคุณเอง เพราะนอกจากจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นแล้ว ยังอาจจะได้เพื่อนใหม่แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย
อย่าคิดว่าคนไทยหรือคนเอเชียเท่านั้นที่ ‘ขี้อาย’ เพราะผลวิจัยบอกว่า คนอเมริกันเกือบร้อยละ 50 เชื่อว่าเขาเป็นคนขี้อายในขณะที่อีกร้อยละ 40 บอกว่าเคยเป็นคนขี้อายมาก่อน
4. หยุดแวะข้างทางเสียบ้าง หรือลองเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน เพื่อสำรวจร้านรวงข้างเคียง เปลี่ยนพฤติกรรมจากเป็นลูกค้าขาประจำร้านเดิมทุกเย็นมาเป็นนักชิมสมัครเล่น หรือลองชอปปิ้งในที่ใหม่ๆ ฯลฯ เพียงเท่านี้คุณก็เปลี่ยนบรรยากาศยามเย็นอันแสนธรรมดาให้สดใส่ขึ้นได้แล้ว ที่สำคัญการหมั่นเติมประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะกระตุ้นให้คุณใกล้ชิดความเป็นไปของสิ่งรอบตัวมากขึ้น
5. แต่งตัวแบบมีคอนเซ็ปต์ แทนที่จะแต่งตัวแบบรีบเร่ง หยิบอะไรได้ก็ใส่อันนั้น ลองคิดสไตล์การแต่งตัวแบบใหม่ๆ หรือมองหาแรงบันดาลใจตามหน้านิตยสาร จากนั้นจับคู่เสื้อผ้าให้เข้ากัน เพียงเท่านี้การเริ่มต้นวันใหม่ของคุณก็คึกคักขึ้นแล้ว รับรองว่าบุคลิกที่เปลี่ยนไปจะสร้างความแปลกใหม่ให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างอย่างคาดไม่ถึง
ว้าวได้ด้วย DIY...สวย/หล่อง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง!
เพียงแค่เปลี่ยนกระดุมก็ทำให้คาร์ดิแกนหรือเชิ้ตตัวเก่าที่คุณเริ่มเบื่อแล้วน่าใส่มากขึ้น
ติดริบบิ้นสวยๆ บริเวณรอยผ่าของกระโปรงตัวเก่า เพียงเท่านี้ก็ได้กระโปรงตัวใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว เ
เพ้นต์สีหรือปักตามแบบที่ชอบลงบนยืนส์สีดำตกยุค แค่พันต์ลวดลายหรือปักง่ายๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็จะได้ยืนส์เท่ๆ มาใส่ในแบบที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

6. เป็นคนรวยเพื่อน โลกทัศน์ของคุณจะกว้างขึ้นเมื่อได้รู้จักเพื่อนใหม่ ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความคิด และจุดประกายให้ชีวิตของเราได้อย่างคาดไม่ถึง นักท่องเน็ตจำนวนมากเรียนรู้เรื่องราวของประเทศที่เขาสนใจจากเครือข่ายเพื่อนออนไลน์ เช่น MSN-Live hi5 หรือ Facebook เมื่อมีเพื่อนที่รู้ใจมากขึ้น เหตุการณ์ประเภท “ปีนี้เธอบินมาเที่ยวบ้านฉัน ปีหน้าฉันไปเที่ยวบ้านเธอ” ก็จะกลายเป็นเรื่องแสนธรรมดาที่ไม่ต้องฝันกลางวันอีกต่อไป

ฮัลโหลโทร.ฟรี! ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถส่งเสียง (ผ่านไมค์ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์) พูดคุยกับใครต่อใครขณะที่กำลังออนไลน์ได้ฟรี เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งโบราณ ‘สไกป์’ จาก skype.com

7. ลงทะเบียนเรียนสิ่งที่ชอบ เช่น ทำขนม วาดรูป เล่นดนตรี ฝึกภาษาต่างประเทศ ฯลฯ ในยามว่าง แล้วทักษะต่างๆ ในตัวคุณจะเริ่มฉายแววและสร้างสรรค์ผลงานออกมา จนคุณเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ‘ฉันทำสิ่งนี้ได้ด้วยหรือนี่’

ตัวอย่างคอร์สเรียนที่น่าสนใจจากอมรินทร์เทรนนิ่งสำหรับเดือนพฤศจิกายนนี้

สะบัดพู่กันไปกับการวาดภาพสีน้ำ

สนุกกับคอร์สสอนการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สำหรับคนรักสวนมือใหม่

เข้าครัวเรียนรู้วิธีทำอาหารยุโรปเบื้องต้น พัฟฟ์และพายสุขภาพ หรืออาหารมังสวิรัติยอดนิยม

อบรมเรื่องขีดๆ เขียนๆ อย่างเป็นระบบกับคอร์ส “อยากเป็นนักเขียน”

8. อาสาพาว้าว! การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นทำให้รู้สึกอิ่มใจจนต้องร้องว้าว! และแทนที่จะเหนื่อยกายกลับได้แรงใจกลับบ้านไปเต็มๆ ถ้าไม่เชื่อต้องลองอาสากันดูสักที ด้วยการหมั่นติดตามข่าวสารความต้องการอาสาสมัครจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะในคอล้มน์ White-board ของ Secret นี่แหละ มีให้เลือกเพียบ!

9. ให้รางวัลชีวิต สิ่งของบางอย่างอาจมีราคาสูงจนแอบคิดว่า ‘คนอย่างฉันไม่มีทางซื้อได้’ แต่ถ้าคุณตั้งใจเก็บออมและมีความพยายามมากพอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะราคาแพงแค่ไหน คุณก็จะเป็นเจ้าของมันได้แน่นอน ลองเริ่มด้วยการหาของขวัญไว้เซอร์ไพร้ส์ตัวเองสัก 1-2 อย่างในแต่ละปี เช่น คอมพิวเตอร์ แพ็คเกจทัวร์ในฝัน หรือการทำงานที่ตนรัก ฯลฯ แม้จะต้องรอนานหน่อยกว่าจะได้ว้าว! แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

10. ใช้ชีวิตให้ช้าลง เปลี่ยนจากใช้ลิฟต์เป็นบันไดเปลี่ยนจากการใช้รถเป็นเดินบ้าง หัดงีบหลับในยามบ่ายหรือทำกับข้าวรับประทานเอง ฯลฯ เพราะการให้เวลามากขึ้นกับกิจกรรมต่างๆ จะทำให้คุณมองเห็นสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้น และสามารถค้นพบความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว ซึ่งบางทีอาจอยู่ใกล้จนคุณต้องแปลกใจ

แม้จะทำแล้วไม่สำเร็จหรือเซอร์ไพร้ส์น้อยกว่าที่คิด แต่แค่เพียงคุณเปิดใจและลงมือก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่งดงามแล้ว ดังที่ แลสส์ บราวน์ นักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า ‘จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะแม้จะไปไม่ถึง คุณก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว’ (Shoot for the moon, even if you miss’ll land among the stars)

วิธีเช็ดเส้นผมที่สระมาใหม่ ๆ ให้แห้งไว ๆ:-



ใช้เวลาน้อยที่สุด...เป่าผมที่เปียกน้ำให้แห้งไวๆ ด้วยผ้าขนหนูที่แห้งนั้นสามารถอมน้ำได้เป็นอย่างดี และตามที่เคล็ดลับ วิธีนี้ของเราได้บอกให้ใช้ผ้าขนหนูแห้งอีกผืนวางลงไปบนเส้นผมที่เปียกน้ำ อีกครั้ง แล้วค่อยให้ใช้ไดร์เป่าผม เป่าลงไปนั้น...ด้วยผ้าขนหนูจะช่วยซับน้ำ ขึ้นมาไว้ที่ตัวผ้า และไอความร้อนจากไดร์เป่าผมที่อังไปบนตัวผ้านั้นจะช่วยเร่งให้ น้ำที่ซับขึ้นมาอยู่บนผ้านั้นระเหยออกไปได้เร็วกว่าปกติอีกด้วย จึงมีสามารถที่จะ ทำให้ผมที่เปียกน้ำนั้นแห้งเร็วกว่าปกตินั่นเองค่ะ...ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเส้นผมจึงไม่ เสียนั้น ก็เป็นด้วยเพราะว่า..... ไอความร้อนจากไดร์เป่าผม นั้นไม่ผ่านไปถึงตัวเส้นผมแต่โดยตรงจึงไม่สามารถ ทำให้เส้นผมเสียแห้งกรอบได้เลยสักนิดว่าอย่างนั้น ... ...มีข้อควรระวังนิดหน่อยก็ตรงที่ว่าเวลาเป่าไดร์ไปบนผ้าขนหนูแล้วจำเป็น ที่จะต้องใช้มือคอยขยี้ไปบนผ้าขนหนูให้ทั่วด้วยนั้น ถ้าไดร์มีความร้อนมากเกินไป อาจเกิดอันตรายได้ ก็ให้ปรับระดับความร้อนให้ต่ำหน่อยก็ดีค่ะ....

เกร็ดความรู้


จากวอลมาร์ท (Walmart) ถึง โลตัส (Lotus)

วอลมาร์ท เป็นชื่อของร้านค้าแนวดิสเคาน์สโตร์สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งสาขาแรกที่มลรัฐอาคันซอ (Arkansas) ในปี พ.ศ. 2505 โดย แซม วอลตัน (SamWalton) เพื่อเป็นร้านขายของราคาถูก ปัจจุบันใช้สโลแกนว่า "Save MoneyLive Better" แทนสโลแกนเดิม คือ "Always Low Prices, Always"ซึ่งใช้มาก่อนหน้านี้ 19 ปี วอลมาร์ทยังเป็น "ต้นแบบ" ของร้านค้าประเภทเดียวกันนี้ เช่น เทสโกโลตัสและคาร์ฟูร์ ในอดีตโลตัสของซีพีที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2537 ก็ได้นำคนจากวอลมาร์ทเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและวางระบบให้ ในครั้งนั้นวอลมาร์ทเกือบจะเข้ามาขยายการลงทุนในไทย แต่ก็เลือกไปที่จีนแทน เพราะเห็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่กว่า ภายหลังกลุ่มเทสโก้เข้ามาเทคโอเวอร์โลตัส และเปลี่ยนชื่อเป็น เทสโก้โลตัสต่อมาเมื่อมีการร่วมทุนจากต่างประเทศกับกลุ่มค้าปลีกไทยมากขึ้น จึงส่งผลให้ร้านค้าปลีกในแบบดิสเคาน์สโตร์หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย
แม้ว่าวอลมาร์ทจะไม่มีสาขาในประเทศไทยแต่ในฐานะที่มียอดขายรวมมากที่สุดในโลกจึงถือเป็น "เบอร์ 1" และถือเป็น "ตำนาน"ของร้านค้าปลีกในแนวดิสเคาน์สโตร์







วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รู้จัก"สารเมลามีน"กันรึยัง



ถึงคราวที่ทั่วโลกต้องตื่นตัวอีกครั้ง เมื่อนมผงมรณะที่มีสารเมลามีนปนเปื้อนได้คร่าชีวิตทารกชาวจีนไป 4 คน และเด็กอีกครึ่งแสนต้องเผชิญกับโรคนิ่วในไต เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมผงซึ่งนำเข้าจากประเทศจีน ถูกสั่งเก็บจากท้องตลาดมาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน



หลายคนสงสัยว่า สารพิษชนิดนี้คืออะไร ทำไมถึงส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตได้ วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักเจ้าสารอันตรายนี้กันค่ะ

"เมลามีน" ถึงเวลาที่ต้องรู้จัก

จะว่าไปแล้ว เราคงจะเคยได้ยินชื่อ "เมลามีน (Melamine)" มาบ้างแล้ว เช่น ชามเมลามีน หรือ จานเมลามีน นั่นก็เพราะเจ้าสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติทนความร้อน จึงนิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์พลาสติก ไม่ว่าจะเป็นภาชนะพลาสติก ถุงพลาสติก น้ำยาดับเพลิง น้ำยาทำความสะอาด กาว หมึกสีเหลือง รวมถึงพบในยาฆ่าแมลงด้วย

สารเมลามีนนี้จัดเป็นสารอินทรีย์ มีสารฟอร์มาลดีไฮด์ หรือที่เรารู้จักกันว่า ฟอร์มาลีน เป็นส่วนประกอบมีไนโตรเจนสูงถึง 66% เป็นผงสีขาว ลักษณะคล้ายนมผงจนแยกไม่ออก เมื่อนำไปละลายน้ำ หรือผสมในนมจะตรวจพบปริมาณไนโตรเจนสูง ซึ่งการจะตรวจว่าน้ำนมนั้นมีโปรตีนสูงหรือไม่ จะวัดจากค่าของไนโตรเจน ดังนั้นถ้าผสมสารเมลามีนซึ่งมีไนโตรเจนสูงเข้าไปในน้ำนม จะถูกทำให้เข้าใจว่า น้ำนมมีโปรตีนสูง ซึ่งไม่เป็นความจริง นี่จึงเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการชาวจีนที่เห็นแก่ตัว และตั้งใจนำสารเมลามีนมาผสมกับนมผง เพื่อให้นมมีความเข้มข้นขึ้น เป็นการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ได้ตามที่มาตรฐานกำหนด

ย้อนเหตุการณ์สารเมลามีนปนเปื้อนในอาหาร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตรวจพบสารเมลามีนปนเปื้อนมาในอาหารที่นำเข้าจากจีน เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน สหรัฐอเมริกาได้สั่งเก็บอาหารสุนัข และแมวที่ทำจากแป้งสาลีซึ่งนำเข้าจากจีนเช่นกัน เนื่องจากตรวจพบสารเมลามีนในอาหารสัตว์เหล่านั้น โดยสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติเร่งการเจริญเติบโต เพิ่มปริมาณโปรตีน จึงทำให้พ่อค้าหัวใสเห็นช่องทางที่จะทำกำไร รวมทั้งผู้เลี้ยงสัตว์เมื่อเห็นราคาถูกกว่าจึงไม่รีรอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

ในครั้งนั้นมีอาหารสัตว์กว่า 100 ชนิดถูกเรียกคืน และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากเจ็บป่วยล้มตายจากภาวะตับ และไตล้มเหลว กระทรวงเกษตรฯ ของสหรัฐอเมริกาจึงประกาศห้ามเตือนไม่ให้มีการนำสารเมลามีนไปผสมในอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับสารเมลามีนเข้าไปในร่างกาย





การส่งออกของสารเมลามีน

ในประเทศจีนนั้น มีการผลิตเมลามีนจำนวนมาก และออกวางขายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะได้รับการรับรองมาตรฐาน ซึ่งสารเมลามีนนี้จะใช้ในกระบวนการผลิตภาชนะ อาหารสัตว์ และนอกจากจีนจะขายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปขายยัง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในรูปของเศษเมลามีนที่เหลือจากโรงงานพลาสติก ซึ่งมีราคาถูก โดยผู้ขายจากจีนจะใช้ชื่อว่า "ไบโอโปรตีน" หรือโปรตีนเทียม แทนชื่อเมลามีน ให้ผู้เลี้ยงสัตว์นำไปผสมในอาหารสัตว์ เพราะมีราคาถูกกว่าโปรตีนอื่นๆ ที่เป็นพวกธัญพืชหรือเนื้อสัตว์เกือบ 5 เท่า จึงลดต้นทุนการผลิตได้ แต่ในประเทศไทยเองยังตรวจไม่พบว่ามีสัตว์เสียชีวิตจากสารอันตรายนี้

อาหารที่เสี่ยงปนเปื้อนสารเมลามีน

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ มีสารเมลามีนปนเปื้อนมาในนมผง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของนมผงที่นำเข้าจาก 22 บริษัทของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นขนม ลูกอม นม คุ้กกี้ ไอศกรีม โยเกิร์ต ฯลฯ ก็เข้าข่ายเสี่ยงไปด้วย ในประเทศไทยเองสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้สั่งงดนำเข้า และขอร้องให้ร้านค้าต่างๆ งดจำหน่ายขนมที่มีแหล่งผลิตจากจีนแล้ว โดยสินค้าที่ต้องนำไปตรวจสอบก่อน ได้แก่

  • ไอศกรีมวอลล์ มอ
  • ขนมปังกรอบ และข้าวโอ๊ตรสกาแฟ ตราเหมาฮวด หรือคอฟฟี่ โอทมีล แคร็กเกอร์

  • เวเฟอร์สติ๊กไวท์ช็อคโกแลต เวเฟอร์เคลือบช็อคโกแลตขาว เครื่องหมายการค้าโอรีโอ

  • ช็อคโกแลตนมตราโดฟ

  • ถั่วลิสงคาราเมล และนูกัตเคลือบช็อคโกแลตนม ตราสนิกเกอร์ส

  • เมนทอส โยเกิร์ต มิกซ์ หรือลูกอมโยเกิร์ตกลิ่นผลไม้รวม

  • ลูกอมรสนม ยี่ห้อกระต่ายขาว

  • คุ้กกี้ช็อกโกแล็ตรูปการ์ตูนหมีโคอาล่า

  • ช็อคโกแลตนมเคลือบน้ำตาลสีต่างๆ ตราเอ็มแอนด์เอ็ม

พิษของสารเมลามีน

ฤทธิ์ของสารเมลามีนนั้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานเข้าไปโดยตรง เพียงแค่สูดดมเข้าไป หรือผิวหนังสัมผัสก็ทำให้เกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ผิวหนังอักเสบได้แล้ว ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้ารับประทานเข้าไป จะเกิดอะไรขึ้น เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเมลามีนได้ ไตจึงไม่สามารถขับสารพิษออกมาทางปัสสาวะ


ดังนั้นเมื่อสารนี้เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปสะสม จนกลายเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ และไต ก่อให้เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ทำลายระบบสืบพันธุ์ และทำให้ไตวายได้อย่างเฉียบพลัน เช่นเดียวกับเด็กทารกชาวจีนทั้ง 4 คนที่เสียชีวิต เพราะรักษาไม่ทันการณ์ ขณะที่ยังมีเด็กอีกกว่า 53,000 คน ทั้งชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเก๊า กำลังป่วยเป็นนิ่วในไตอันเป็นผลพวงมาจากสารเมลามีนนี้


ในส่วนของภาชนะที่ทำจากเมลามีนก็ต้องระวังการใช้เช่นกัน แม้ผู้ผลิตจะบอกว่า สามารถทนความร้อนได้ถึง 100 องศา แต่ก็ควรใช้งานที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส เนื่องจากหากใช้งานกับความร้อนสูง เช่น น้ำเดือดๆ อาหารที่ทอดใหม่ๆ ก็อาจทำให้สารฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งแพร่ออกมาได้ เช่นนั้นแล้ว หากจะใช้ภาชนะปรุงอาหาร หรืออุ่นไมโครเวฟ ควรใช้ผลิตภัณฑ์จากเซรามิกจะดีกว่า


วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องประหลาด




ชายที่เตี้ยที่สุดในโลก และผู้หญิงที่ขายาวที่สุดในโลก

เหอ ผิงผิง ชาวจีนจากมณฑลมองโกเลียใน ซึ่งได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติกินเนสส์บุ๊ก ว่าเป็นมนุษย์ที่เตี้ยที่สุดในโลก กำลังนั่งอยู่ระหว่างขาของ สเวเทียนา พันกราโทวา ผู้หญิงขายาวที่สุดในโลกที่จตุรัสทราฟัลการ์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 16 กันยายน โดยผิงผิงมีความสูงเพียง 2 ฟุต 5.37 นิ้ว ส่วนพันกราโทวามีขายาว 4 ฟุต 4 นิ้ว





30 วิธีหยุดโลกร้อน














1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี
2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง

3.เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb (CFL) เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก

4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี






5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%

6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์

7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย
8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร
9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ

10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ

11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก
12.เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน
13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา

14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน
15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี

16.ขับรถเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน เพราะมีบริษัทเช่ารถใหญ่ๆ 2-3 รายมีรถรุ่นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอทานอล หรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ

18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ

19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น

20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

21.ยืดอายุตู้เย็นด้วยการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานให้ตู้เย็นด้วยการใช้อย่างฉลาด ไม่นำอาหารร้อนเข้าตู้เย็น หลีกเลี่ยงการนำถุงพลาสติกใส่ของในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นจ่ายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงอาหาร ควรย้ายตู้เย็นออกจากห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ละลายน้ำแข็งที่เกาะในตู้เย็นเป็นประจำ เพราะตู้เย็นจะกินไฟมากขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งเกาะ และทำความสะอาดตู้เย็นทุกสัปดาห์

22.ริเริ่มใช้พลังงานทางเลือกในอาคารสำนักงาน เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเฉพาะจุด

23.ใช้แสงแดดให้เป็นประโยชน์ ในการตากเสื้อผ้าที่ซักแล้วให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปั่นผ้าแห้งหากไม่จำเป็น เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า

24.ใช้น้ำประปาอย่างประหยัด เพราะระบบการผลิตน้ำประปาของเทศบาลต่างๆ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำให้น้ำสะอาด และดำเนินการจัดส่งไปยังอาคารบ้านเรือน

25.ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำที่ปรับความแรงน้ำต่ำๆ ได้ เพื่อจะได้เปลืองน้ำอุ่นน้อยๆ (เหมาะทั้งในบ้านและโรงแรม)

26.ติดตั้งเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากโรงผลิตกระแสไฟฟ้า

27.สร้างนโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเต็มที่ เป็นการลดพลังงานในการกำจัดขยะ ลดมลพิษและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการกำจัด

28.ป้องกันการปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ ด้วยการแยกขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เศษอาหาร ออกจากขยะอื่นๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

29.ทาหลังคาบ้านด้วยสีอ่อน เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อน

30.นำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคารบ้านเรือน โดยใช้การออกแบบบ้าน และตำแหน่งของช่องแสงเป็นปัจจัย ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหลอดไฟและพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้