วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

ลูกปิดเทอมใหญ่…ใช้เวลาอย่างไรให้คุ้มค่า


ปิดเทอมใหญ่แล้ว พ่อแม่วางแผนการใช้เวลาให้กับลูกในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 เดือนนี้อย่างไร หากพ่อแม่ยังไม่มีแผนการใดๆ โดยคิดว่าปิดเทอมนี้ให้ลูกอยู่บ้านพักผ่อนบ้าง เนื่องจากเรียนหนักมามากพอแล้วตลอดปีที่ผ่านมา นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน เพราะการไม่ได้วางแผนในการใช้เวลาอย่างดีเพียงพอนั้นจะนำมาซึ่งการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาชีวิต ลูกอาจใช้เวลาเรื่อยเปื่อยไปวันๆ โดยไม่ได้เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น อยู่บ้านใช้เวลาไปกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ มีทีวีเป็นเพื่อน กินๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน ฯลฯ ทั้งๆ ที่ในวัยเด็กเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็นและมีพลังในการเรียนรู้อย่างไร้ขีดจำกัด การส่งเสริมในทางที่ถูกต้องจะนำมาซึ่งการพัฒนาการของเด็กอย่างเต็มศักยภาพ


การใช้เวลาไปในทางที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ที่ต้องทำงานจึงไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา ลูกอาจรู้สึกเบื่อหน่าย เหงา ไม่มีอะไรทำ จึงอาจไปเที่ยวเตร่ คบเพื่อนไม่ดี ถูกชักจูงไปในทางที่เสียหายได้โดยง่าย เช่น เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด การพนัน มั่วสุมในร้านเกม เป็นต้น


ดังนั้นยามใดที่โรงเรียนปิดเทอม พ่อแม่จึงต้องรับบทบาทเพิ่มขึ้นในการดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยการสวมบทบาทเป็น “ผู้จัดการส่วนตัว” ในการจัดสรรเวลาให้กับลูกอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสวมบทบาทแทนโรงเรียนในการจัดกิจกรรม หลักสูตรการเรียนรู้ต่างๆ ให้กับลูกได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างเต็มที่ตามแต่ละช่วงวัย โดยเริ่มจาก

สำรวจลูกมีความชอบหรือถนัดในด้านใดเป็นพิเศษ
พ่อแม่ควรรู้จักลูกของตนว่ามีความชื่นชอบหรือมีความถนัดในทักษะด้านใดเป็นพิเศษ อาทิ ความถนัดในด้านกีฬา ดนตรี เต้นรำ คอมพิวเตอร์ ภาษา ฯลฯ เพื่อส่งเสริมความสามารถของลูกในด้านที่ถนัดให้เด่นชัดและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านการใช้เวลาฝึกฝนในช่วงปิดเทอม

โดยหากยังไม่แน่ใจว่าลูกมีความถนัดหรือความสามารถพิเศษในด้านใด พ่อแม่สามารถพูดคุยแนะนำในการฝึกฝนพัฒนาทักษะต่างๆ ผ่านทางหนังสือ ทีวี หรือพาไปดูของจริง เช่น พาลูกไปดูการแข่งขันกีฬา การฝึกฝนกีฬาในโรงยิมฯ พาลูกไปดูการซ้อมดนตรี เป็นต้น เพื่อให้ลูกได้ค้นพบสิ่งที่ตนเองถนัดและชื่นชอบผ่านประสบการณ์จริง

อย่างไรก็ตาม ในเด็กแต่ละช่วงวัยหรือแม้แต่ในเด็กแต่ละคนเองนั้นย่อมมีทักษะความสามารถที่แตกต่างกันไป เด็กที่มีทักษะในการเคลื่อนไหวร่างกายที่ดีย่อมส่งผลในการเล่นเล่นกีฬาประเภทต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เด็กบางคนอาจร้องเพลง เล่นดนตรี หรือเขียนภาพได้ดี ดังนั้น พ่อแม่จึงไม่ควรบังคับให้ลูกเรียนหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในขณะที่ยังไม่รู้จักลูกของตนอย่างแท้จริง

สำรวจลูกมีจุดอ่อนและข้อบกพร่องในด้านใดที่ต้องรับการแก้ไข
พ่อแม่ควรสำรวจลูกของตนด้วยว่ามีจุดอ่อนในเรื่องใดที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ เพื่อที่จะใช้เวลาในช่วงปิดเทอมนี้เป็นโอกาสสำคัญในการแก้ไขหรืออุดจุดอ่อนดังกล่าวของลูกให้กลายเป็นจุดแข็ง อาทิ

-จุดอ่อนในเรื่องความมีระเบียบวินัย เช่น ลูกชอบนอนตื่นสาย เก็บข้าวของไม่เป็นระเบียบ ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง ฯลฯ
-จุดอ่อนด้านบุคลิกภาพ เช่น กิริยามารยาทในการเข้าสังคม การรับประทานอาหาร การเข้าหาผู้ใหญ่
-จุดอ่อนในเรื่องความไม่มั่นใจในตนเอง อาทิ ความกลัวในการยืนหรือพูดต่อหน้าคนหมู่มาก กลัวไม่กล้าที่จะอาสาตัวเป็นผู้นำ
-จุดอ่อนด้านลักษณะนิสัย อาทิ เอาแต่ใจตนเอง ไม่คำนึงถึงผู้อื่น เห็นแก่ตัว
-จุดอ่อนด้านการเรียน อาทิ ลูกมีปัญหาด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สอบทีไรได้คะแนนคาบเส้น หรือต้องสอบซ่อมในทุกครั้ง

สำรวจหากิจกรรมต่างๆ ไว้เป็นฐานข้อมูลในการเลือก
ปัจจุบันมีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับพ่อแม่ในการเลือกสรรกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกในช่วงปิดเทอม ไม่ว่าจะเป็นการจัดค่ายสำหรับเด็กในช่วงปิดเทอม โดยหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือโรงเรียนของลูกเป็นผู้จัด อาทิ ค่ายวิทยาศาสตร์ ค่ายภาษาอังกฤษ หรือหลักสูตรการเรียนพิเศษกวดวิชาเพื่อเพิ่มเกรดหรือติวเข้าโรงเรียนดัง รวมทั้งคอร์สเรียนพิเศษในวิชาอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

พ่อแม่ควรสำรวจกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้พร้อมบันทึกเก็บไว้เป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาเลือกให้ลูก โดยการเสาะหาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนลูกปิดเทอม ทั้งจากการไปดูสถานที่จริง โฆษณาในวารสาร แผ่นพับ ทีวี อินเทอร์เน็ต หรือสอบถามจากทางโรงเรียน ครูอาจารย์ เพื่อนผู้ปกครอง รวมทั้งญาติพี่น้องที่เคยส่งบุตรหลานเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวโดยปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ควรนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกกิจกรรมให้กับลูกนั้น ได้แก่ ความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่จัด ครูผู้สอน ความปลอดภัยในสถานที่ อุปกรณ์ และการจัดกิจกรรม ประโยชน์ที่ลูกได้รับ ความคุ้มค่าคุ้มราคากับเงินที่เสียไป ความสะดวกในการเดินทาง เป็นต้น ทั้งนี้การเลือกสรรกิจกรรมให้ลูกนั้นควรเป็นไปด้วยความสมัครใจและให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน

พ่อแม่ไม่ควรเลือกกิจกรรมให้กับลูกโดยอิงไปตามแฟชั่นค่านิยมในสังคมหรือตามกระแสภาพยนตร์ ที่กำลังมาแรง โดยไม่คำนึงถึงความชอบของลูกหรือประโยชน์ความคุ้มค่าที่ได้รับ หรือพยายามกดดันลูกอย่างหนักให้เรียนพิเศษแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในการพิจารณาเลือกกิจกรรมหรือหลักสูตรวิชาต่างๆ ให้ลูกได้เรียนในช่วงปิดเทอมนั้น พ่อแม่ควรมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าต้องการให้ลูกได้รับประโยชน์ในด้านใด ตัวอย่างเช่น

-ประโยชน์ในการพัฒนาทักษะที่มีความจำเป็นในโลกอนาคต เช่น การเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หลักสูตรคอมพิวเตอร์ ที่มีความสำคัญในการศึกษาและประกอบอาชีพต่อไปในอนาคต
-ประโยชน์ในการเสริมพื้นฐานในการเรียน เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในวิชาที่เป็นจุดแข็ง ช่วยเหลือและแก้ไขในวิชาที่เป็นจุดอ่อนของลูก ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น
-ประโยชน์ในการเสริมสร้างลักษณะชีวิต โดยพ่อแม่อาจส่งลูกไปเข้าค่ายต่างๆ ที่มีบริบทของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน การทำงานเป็นทีม เพื่อเสริมสร้างลักษณะชีวิตที่ดีงาม อาทิ การมีระเบียบวินัย ความเสียสละ การมีจิตสาธารณะ รวมทั้งฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ในการเข้าสังคม เช่น การเป็นผู้นำ การพูดต่อหน้าชุมชน เป็นต้น
-ประโยชน์ในด้านสุขภาพร่างกาย โดยการฝึกฝนทักษะกีฬาประเภทต่างๆ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เช่น ว่ายน้ำ ฟุตบอล มวยไทย เทควันโด ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านสุขภาพพลานามัยแล้ว กีฬาบางประเภทยังเป็นการฝึกฝนทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ การป้องกันตัว ฝึกฝนการทำงานร่วมกันเป็นทีม การรู้แพ้รู้ชนะ ความมีน้ำใจนักกีฬา ด้วยเช่นกัน


สมดุลในการใช้เวลาระยะเวลาในช่วงปิดเทอมที่จำกัด

พ่อแม่ไม่ควรยัดเยียดกิจกรรมต่างๆ ให้ลูกมากเกินไป เช่น ส่งให้ลูกไปเรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์อย่างเดียวตั้งแต่เช้าถึงค่ำ จัดโปรแกรมอัดแน่นให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษตอนเช้า เรียนดนตรีตอนบ่าย เรียนว่ายน้ำตอนเย็น เรียนเสริมคณิตศาสตร์ในตอนค่ำ ฯลฯ อาจส่งผลให้ลูกเกิดความเครียด เหนื่อยล้า เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากเข้าเรียนหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในที่สุด

พ่อแม่จึงควรจัดตารางเวลาในช่วงปิดเทอมให้กับลูกอย่างสมจริงมีความครบถ้วนสมดุลในทุกมิติของชีวิต ทั้งด้านสุขภาพร่างกาย การพักผ่อนหย่อนใจ การเดินทางท่องเที่ยว การใช้เวลากับเพื่อนฝูง ครอบครัว ญาติพี่น้อง ฯลฯ โดยการให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการทำตารางเวลาร่วมกัน ว่าตลอดช่วงระยะเวลาปิดเทอมนี้ลูกจะทำอะไรบ้าง คล้ายๆ กับการจัดตารางสอนในโรงเรียนของลูก เพื่อให้ลูกใช้เวลาในช่วงปิดเทอมใหญ่นี้อย่างมีเป้าหมายรู้ว่าในแต่ละวันนั้นเขาต้องทำอะไร โดยพ่อแม่ควรติดตามประเมินผลการใช้เวลาของลูกอย่างใกล้ชิด อาจด้วยการสอบถามหรือให้ลูกจดบันทึกการใช้เวลาให้พ่อแม่ดูในแต่ละวันว่าลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ในเรื่องใด อะไรที่เป็นปัญหาสำหรับลูก และลูกมีแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นอย่างไร โดยอาจเป็นในรูปแบบของการจดไดอารี่และมีการให้รางวัลแก่ลูกหากสามารถจดบันทึกได้อย่างครบทุกวันตลอดในช่วงปิดเทอม

ทั้งนี้ พ่อแม่ไม่ควรลืมที่จะเตรียมพร้อมในเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” ด้วยเช่นกัน โดยการวางแผนล่วงหน้าก่อนที่ลูกจะปิดเทอม เพราะหากไม่เตรียมการล่วงหน้า อาจนำมาซึ่งความฉุกละหุก เนื่องจากไม่สามารถจัดหาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มาได้อย่างเพียงพอ

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ค่านิยมวันวาเลนไทน์ ค่า(ฆ่า)นิยม วันเสียตัวแห่งชาติ


ค่านิยมวันวาเลนไทน์ ฆ่านิยมวันเสียตัวแห่งชาติ

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกับการออกมาให้ข่าวของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐอย่าง กระทรวงวัฒนธรรม หรือ แม้กระทั่งสื่อสารมวลชนทุก ๆ แขนง พิพากษาให้ "วันวาเลนไทน์" ว่าเป็น "วันเสียตัวแห่งชาติ" ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจกับเด็กเป็นวงกว้างนั้น

นายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ใหญ่มักให้ภาพวันวาเลนไทน์กับวัยรุ่นเป็นภาพลบมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เขากล่าวไม่เห็นด้วยกับการที่ทุก ๆ ปีนั้นจะมีผู้ใหญ่ออกมาอิงกระแสตราหน้าหาว่าวัยรุ่นใช้วันวันวาเลนไทน์เป็น "พลีกาย" เป็น “วันเสียตัวแห่งชาติ"

ข่าวป้ายสีเด็กลงฟรี ข่าวเด็กดีๆ ต้องเสียตังค์ลง

"ทุก ๆ ปีผู้ใหญ่และสื่อ ให้ความสำคัญกับวันนี้มากมาย จนสถานประกอบการต่างๆ จับกระแสได้โดยเริ่มคลอดโปรโมชั่นแบบยั่วยวนให้กลุ่มเด็กเข้าไปใช้บริการเหล่านั้น ซึ่งแทนที่ผู้ใหญ่ สื่อ กระทรวงวัฒนธรรมจะนำเสนอหรือออกมาพูดในเรื่องดีๆ ของเด็กในวันนี้ ซึ่งมีเต็มหมด เช่น เด็กออกมาทำอะไรสร้างสรรค์ ออกมารณรงค์เรื่องดี ๆ และขยายความหมายของวันนี้มากกว่าวันแห่งความรักเชิงชู้สาวที่เน้นความรักแบบต้องมีเซ็กส์กัน แต่ผู้ใหญ่และสื่อเลือกจับคู่เอาเรื่องเด็กกับสิ่งไม่ดีเสนอ ๆ "

พอเกิดด้านลบมากๆ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร บอกว่า จริง ๆ วัยรุ่นที่ทำตัวไม่ดีมีแค่ 10 % พอออกข่าวไปแล้วก็บอกว่า "วัยโจ๋-นักศึกษา…" ซึ่งถ้าพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเหมารวมหมด เด็กส่วนใหญ่ที่ทำตัวดีก็โดนด่า ซึ่งเป็นการพูดความจริงแค่นิดเดียว ผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้ซึ่งคาดว่า วาเลนไทน์ปีนี้เด็กก็จะโดนกล่าวหาว่าทำตัวไม่ดีเหมือนเคย

"เด็กดี ๆ หลายคนรู้สึกว่าเด็ก ๆ ถูกป้ายสีนะ แต่อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" แทนที่เราจะมาลงข่าวว่าเด็ก เราไม่ดียังไงๆ ทำไมผู้ใหญ่ไม่รณรงค์ว่าวาเลนไทน์เป็นวันสุภาพบุรุษ วาเลนไทน์เป็นวันมีคนมาช่วยกันในสังคม มาช่วยกันอนุรักษ์สังคม ไม่ต้องไปจงใจในเรื่องของเซ็กส์แอนตี้อยางเดียวแต่ว่า เป็นเรื่องของเรื่องทั่วไป เราไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นวันแห่งความรัก แต่เรารักอย่างอื่นได้ รักสังคมได้ รักพ่อแม่ก็ได้นะ อันนี้ผู้ใหญ่ควรจะรู้ไว้" ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร กล่าว

มองมุมกลับ กับ วันเสียตัวแห่งชาติ

นอกเหนือความหมายวันวาเลนไทน์ หรือวันเสียตัวแล้ว ถามว่าปัจจุบันเด็กเสียคนเองหรือว่าโดนทุนนิยม โดนกระแสสังคมทำให้เสียคนประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร บอกว่าน่าจะมาจากปัจจัยรวม ๆ ทั้งหมด

"คำถามผมก็คือ ผู้ใหญ่ สื่อ และ ตำรวจ ทำไมไม่เปลี่ยนอีกมุมหนึ่งมาช่วยเด็กจัดกิจกรรมรักความสร้างสรรค์ แต่นี่กลายเป็นว่าวันวาเลนไทน์วัยรุ่นกลายเป็นอาชญากรรมไป ถามจับมาทำอะไรเขาได้ แถมไม่ได้ทำให้พฤติกรรมของเด็ก ๆ เปลี่ยนแปลงเลย"

"วิธีแก้ไขได้นอกจากผู้ใหญ่จะหยุดตอกย้ำเอาเรื่องของคนกลุ่มเล็กมาพูดแล้ว ครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังให้เรามีความยังยังช่างใจ ซึ่งวันวาเลนไทน์ไม่จำกัดอยูแค่ต้องอยู่กับแฟนเท่านั้น ความรักมันยังกินความหมายไปได้ ถึง พ่อ-แม่-ครู ซึ่งท่านเลี้ยงและสั่งสอนเรามาก็ควรจะตอบแทนท่านด้วยความรักและเอาใจใส่ดีกว่าไปทำตัวเหลวไหล"

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สิ่งแรกในโลก...



สิ่งที่เกิดขึ้นมา!!
ต้องมีอย่างแรกเกิดขึ้นอยุ่แล้วใช่ไหมล๊า มาดูกันๆ....

*ผ้าพิมพ์ลายผืนแรก
ผู้คิดค้นวิธีการพิมพ์ลวดลายต่างๆ และสีสันสวยงามลงบนผืนผ้าเป็นคนแรกคือชาวอังกฤษ ชื่อ เซอร์โรเบิรต์ ฟิลเขาทดลองวาดภาพบนสังกะสีเรียบ แล้วนำผ้าไปวางทับ ก่อนที่จะใช้เครื่องอัด อัดทับผืนผ้าอีกชั้นหนึ่ง และเมื่อคลายเครื่องอัดออกก็ปรากฎลวดลายสวยงามที่ผืนผ้านั้น และจากนั้นเอง เขาก็ได้พัฒนาเครื่องพิมพ์ลวดลายต่างๆลงบนผ้าให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น จนผ้าพิมพ์ลายได้รับความนิยมแพร่หลายตราบจนทุกวันนี้

กางเกงยีนส์ตัวแรก
กางเกงยีนส์ที่คนทั่วโลกทั้งหญิงและชายนิยมสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้นั้น เป็นผลงานของชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างตัดเสื้อผ้าในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เขาผู้นี้มีชื่อว่า ลีวาย สเตราส์ จุดมุ่งหมายของเขาก็คือ การผลิตกางเกงขายาวเพื่อให้คนงานทำเหมืองได้สวมใส่ ซึ่งจะต้องเป็นกางเกงที่มีความทนทาน สมบุกสมบันเป็นเยี่ยม ซึ่งต่อมาภายหลัง มิได้มีแต่เพียงคนงานเท่านั้นที่นิยมชมชอบ แต่คนทุกสาขาอาชีพก็นิยมใส่กางเกงยีนส์กันทั่วทั้งโลก

ปากกาลูกลื่นด้ามแรก
นักหนังสือพิมพ์ชื่อ ปิโร ชาวฮังการี ได้พยายามคิดค้นปากกาแบบใหม่ที่ไม่ต้องคอยเติมน้ำหมึกบ่อย ๆ ให้เลอะเทอะ และเขียนได้คล่องกว่าปากกาหมึกซึม โดยการใส่เหล็กกลมขนาดเล็กเข้าไปในตัวปากกาเพื่อบังคับน้ำหมึกและให้เขียนได้อย่างลื่นไหลต่อมาในปี พ.ศ. 2486 เขาได้พัฒนาน้ำหมึกที่ใช้กับปากกาลูกลื่นได้ผลดีมาจนถึงทุกวันนี้

ต้นตำรับยางรถยนต์
ล้อของรถยนต์หรือล้อของรถประเภทต่าง ๆ ที่ทำด้วยยางที่ใช้กันทั่วไปทุกวันนี้นั้น ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2382 โดยผู้วชาญชื่อ ชาร์ลส์ กูดเยียร์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน เขาพบว่า ด้วยเนื้อยางเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศและต่อการใช้งานอย่างหนักได้เขาจึงได้นำยางดิบผสมกับกำมะถันและตะกั่ว และลนด้วยไฟ จึงได้เนื้อยางที่มีความยืดหยุ่นและสามารถคงรูปเดิมอยู่ได้ ไม่ว่าสภาพอากาศหรืออุณหภูมิจะเปลี่ยนไปจนกระทั่งนำมาทำเป็นล้อรถดังเช่นทุกวันนี้

จักรยานคันแรก
รถจักรยานคันแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานเป็นผลงานของชาวสก็อตแลนด์ชื่อ แพทริก แมคมิลแลน เมื่อปี ค.ศ. 1839 ซึ่งต่อมามันเป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จักรยานยุคแรก ๆ ใช้ล้อที่เป็นยางตัน แต่ภายหลังได้พัฒนายางที่สามารถสูบลมเข้าไปได้ ทำให้มีความเบา วิ่งได้เร็ว และลดแรงสะเทือนอีกทั้งยังคิดระบบเบรก เพื่อให้หยุดได้ทุกเมื่ออย่างมีประสิทธิภาพ

เฮลิคอปเตอร์ลำแรก
ผู้คิดสร้างเฮลิคอปเตอร์เป็นคนแรกคือ อิกอร์ ซิคอร์สกี้ ชาวรัสเซีย ด้วยความคิดที่จะให้มันบินขึ้นลงได้ในแนวดิ่ง ดังนั้น มันจึงไม่จำเป็นต้องใช้ทางวิ่งเหมือนเช่นเครื่องบินทั่ว ๆ ไปซิคอร์สกี้ ได้ย้ายมาอยู่อเมริกา และสร้างเฮลิคอปเตอร์ได้สำเร็จ ในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งหลังจากนั้น มันก็ได้ถูกพัฒนาให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังเช่นทุกวันนี้

กำเนิดมอเตอร์ไซค์
เมื่อแพทริก แมคมิลแลน ประดิษฐ์จักรยานสองล้อถีบได้ไม่นาน ก็มีผู้คิดเครื่องจักรไอน้ำขนาดเล็ก นำมาติดตั้งเข้ากับจักรยานสองล้อถีบ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับในด้านประสิทธิภาพ เพราะไม่มีความสะดวกสบายในการนำมาใช้งานจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1885 ก้อทเลี๊ยบ เดมพ์เลอร์ ก็ได้คิดค้นดัดแปลงจักยานสองล้อที่สามารถติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้นำมันเชื้อเพลิงได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมทั้งปรับปรุงระบบกันสะเทือน ตลอดจนระบบเบรก และล้อให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ระเบิดปรมาณลูกแรก
ในปี พ.ศ. 2488 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะยุติสงครามโลกครั้งที่สองให้ได้โดยเร็วด้วยการใช้อาวุธชนิดใหม่ที่เพิ่งคิดค้นได้สำเร็จ สิ่งนั้นก็คือ ระเบิดปรมาณู อันเป็นระเบิดที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูงส่งมากมายมหาศาลระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกทิ้งจากเครื่องบินลงมายังเมือง ฮิโรชิมา ของญี่ปุ่น ทำให้เมืองทั้งเมืองพินาศย่อยยับ ผู้คนล้มตายนับแสน ที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัสพิกลพิการไปจนตลอดชีวิตจนถึงทุกวันนี้ ยังมีคำถามอยู่เสมอ ๆ ว่า จำเป็นด้วยหรือกับการฆ่าคนเป็นแสนเป็นล้านเพียงเพื่อยุติสงคราม


วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำจำกัดความของเกรด



A = animal สมองน้อย
อันเกรด A เขาว่าเหมือนเช่นสัดว์
วันๆ ฟัดแต่ตำราน่าอดสู
A Animal สมองน้อยหงอยน่าดู
สงสัยครู ให้ได้ไง ไม่ค่อยเจอ


B = basic ก็แค่พื้นๆ
B Basic ใครๆก็ทำได้
เพราะมันง่ายกันไปจนน่าขำ
คนว่า"เบ" เกินไปเลยไม่ทำ
กลัวตอกย้ำความเบสิกสะกิดใจ


C = common ธรรมดา งั้นๆ
C Common แบบนี้สิใช้ได้
คนทั่วไปยอมรับและนับถือ
เกรดแบบนี้ได้มาเรียก "ฝีมือ"
แต่ก็ถือว่ายังอ่อนเกินไป


D = diligent ฉลาด หลักแหลม
D Deligent เกรดสุดฮิตของคนขยัน
ฟิตทั้งวันแต่เลคเชอร์ไม่เคยสน
conc. วิชา จีบสาว ม่อเกินทน
สุดยอดคน นายเยี่ยมมาก พูดจากใจ


F = fever เก่งจนเกิดกระแสความดัง
เกรดใดๆไม่เท่า F Fever
ได้กันเกร่อรู้ทั่วถึงไหนๆ
ใครได้มา ก็ Fever น่าชื่นใจ
แล้วค่อยไป เรียนซัมเมอร์ ด้วยกันเอย.

สาธุ...........

คำสอนของพระพุทธเจ้าในนิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งกล่าวถึงเรื่องของ เหตุแลผล ของกรรม ที่เราท่านได้ประสบกับเรื่องราวต่างๆทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง ซึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสไว้ถึง เหตุ และผลแห่งกรรม หลายๆคนคิดว่า ทำไมฉันเป็นอย่างนั้น ทำไมต้องเจอเรื่องแบนี้ ทำไม เราไม่รวย สวย หล่อ เหมือเขาเหล่านี้ ล้วนมิใช่เรื่องบังเอิญทั้งสิ้น เราลองมาอ่านและพิจารณากันนะครับ เพื่อที่เราจะได้เผชิญเรื่องราวต่างๆได้อย่างมีสติ และแก้ปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

พระพุทธองค์ตรัสถึงกฎแห่งกรรมว่าอดีตชาติได้ประกอบแต่กรรมดี จึงเกิดมาเป็นคนที่มียศสูงศักดิ์ และร่ำรวยในโภคทรัพย์ ผู้ใดบำเพ็ญธรรมมาตลอดจะได้บุญวาสนาไปทุกภพชาติ มนุษย์จงฟังให้ดี ฟังตถาคตกล่าวผลกรรมของไตรภพ ผลกรรมของไตรภพเป็นเรื่องใหญ่จงอย่าดูหมิ่นพุทธพจน์ จงฟังผลกรรมดังต่อไปนี้

ปัจจุบันเป็นขุนนางเพราะเหตุใดชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูปสิ่งที่ได้รับในชาตินี้เพราะชาติก่อนทำไว้ถวายเครื่องทรงสักการะพระพุทธองค์ทองคำสร้างองค์พระดั่งสร้างตนเองเครื่องทรงสักการะคืออาภรณ์ประกับกายดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นขุนนางนั้นง่ายหากไม่สร้างบุญก่อกุศลแต่ปางก่อนไว้ไฉนเลยจะได้รับ

มีรถนั่งมีเรือขี่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน

มีเสื้อผ้าแพรพรรณประดับกายเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน

มีอาหารกินอิ่มสมบูรณ์เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ยากจน

ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานเลยแม้แต่น้อย

มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้

มีบุญบารมีวาสนาเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนสร้างวัดสร้างศาลา

มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ของหอม

มีปัญญามีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนสวดมนต์สรรเสริญพระนามพระพุทธเจ้า

มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจผู้กำพร้า

ไม่มีพ่อมีแม่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา

เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น

ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนข่มเหงรังแกลูกหลานชาวบ้าน

ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ปลดปล่อยชีวิต

ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

“หากถามเรื่องชาติปางก่อน ก็ให้ดูผลที่ได้รับในปัจจุบันหากจะถามเรื่องชาติหน้า
ก็ให้ดูสิ่งที่กระทำในปัจจุบัน”

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โรคตาแดง

อืม..วันนี้ไปสอบPAT5มาเจอเพื่อนๆหลายคนเป็นโรคตาแดงกันเยอะนะ รวมถึงเราด้วยก็เลยอยากมาบอกอาการและการป้องกันการเป็นโรคตาแดงให้ฟังกัน

โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการอักเสบของเยื่อบุตา(conjuntiva)ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง
อาการของโรคตาแดง
แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา รยะเวลาที่เป็น อาการที่สำคัญคือ
1.คันตา เป็นอาการที่สำคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมากหรือน้อย คนที่เป็นโรคตาแดงโดยที่ไม่มีอาการคันไม่ใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้ นอกจากนั้นอาจจะมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเช่นหอบหืด ผื่นแพ้
2.ขี้ตา ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง
-ขี้ตาใสเหมือนน้ำตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้
-ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง
-ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าทำให้เปิดตาลำบากสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
3.ตาแดงเป็นข้องหนึ่งหรือสองข้าง
-เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมากมักจะเกิดจากภูมิแพ้
-เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็นสองข้างสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเช่นแบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia
-ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องส่งปรึกษาแพทย์

4.อาการปวดตาหรือมองแสงจ้าไม่ได้ มักจะเกิดจากโรคชนิดอื่นเช่นต้อหิน ม่านตาอักเสบเป็นต้น ดังนั้นหากมีตาแดงร่วมกับปวดตาหรือมองแสงไม่ได้ต้องรีบพบแพทย์
5.ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์
6.ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ

การตรวจร่างกาย
-คุณลองคลำต่อมน้ำเหลืองรอบหู หากคลำได้อาจจะเป็นโรคติดเชื้อไวรัส หรือจากสัมผัสสารระคายเคือง ส่วนเชื้อแบคทีเรียมักจะคลำไม่ได้ต่อมน้ำเหลือง
-ในรายที่เป็นไม่มากไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม
-ในรายที่เป็นรุนแรง เป็นๆหายๆ หรือเป็นเรื้อรังควรจะต้องตรวจเพาะเชื้อจากขี้ตา
-การนำขี้ตามาย้อมหาตัวเชื้อก็พอจะบอกสาเหตุของโรคตาแดง
การป้องกันโรคตาแดง
-อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น
-อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
-ล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือเข้าตา
-ใส่แว่นตากันถ้าต้องเจอสารเคมี
-อย่าใช้ยาหยอดตาของผู้อื่น
-อย่าว่ายน้ำในสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีน
-ยาเมื่อไม่ได้ใช้ให้ทิ้ง
-อย่าสัมผัสมือ
-เช็ดลูกบิดด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค

การรักษาตาแดงด้วยตัวเอง
-ประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ10-15 นาที
-ล้างมือบ่อยๆ
-อย่าขยี้ตาเพราะจะทำให้ตาระคายมากขึ้น
-ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้
-อย่าใส่ contact lens ช่วยที่มีตาแดง
-เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน เปลี่ยนหมอนทุก 2 วัน
หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์
-ตามัวลง
-ปวดตามากขึ้น
-กรอกตาแล้วปวด
-ไข้
ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น
-น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว
-แพ้แสงอย่างมาก

โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส Viral Conjunctivitis
เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ adenovirus มักจะระบาดในชุมชน โรงเรียน ที่ทำงาน การติดต่อมักจะติดต่อโดยการสัมผัสทางมือ เครื่องมือ สระว่ายน้ำ
อาการที่สำคัญคือตาแดงเฉียบพลัน น้ำตาไหล เยื่อบุตาบวม ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต เคืองตาเล็กน้อย บางรายอาจจะมีเลือดออกที่ตาขาว อาจจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยลามมาอีกข้างหนึ่ง
เนื่องจากโรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัสจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงสัมผัสกับคนอื่นเป็นเวลา 7 วันนับตั้งแต่เกิดอาการ การรักษาเป็นเพียงประคับประคองโดยการประคบเย็น ยาหยอดตา ยาปฏิชีวนะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของ steroid เพราะจะทำให้หายช้า

โรคตาแดงจากโรคภูมิแพ้ Allergic Conjunctivitis
เกิดจากการได้รับสารภูมิแพ้จากอากาศ มักจะเป็นฤดูกาล มักจะเป็นสองข้างมีอาการคันตาเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดงตาบวม การรักษาต้องหลีกเลี่ยงสารภูมิแพ้ ประคบเย็น ยาหยอดตาแก้แพ้ ยาหยอดตาลดการอักเสบ ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน
ตาแดงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacterial Conjunctivitis
ตาแดงจากการติดเชื้อหนองใน
ตาแดงจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเริ่มต้นมีขี้ตาเป็นหนอง ตาแดงอย่างรวดเร็ว กดตาจะเจ็บ เคืองตามาก ตาบวม หนังตาบวม เชื้อที่เป็นสาเหตุคือเชื้อหนองใน N. gonorrhoeae และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis ตาแดงจากเชื้อหนองในมักจะเกิดในเด็กทารกมักจะเกิดภายใน 3-5 วันหลังจากคลอดโดยได้รับเชื้อจากแม่ขณะคลอด การรักษาต้องหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะ ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด ceftriaxone ciprofloxacin Spectinomycin